เปิดฉายรอบพิเศษ 9 กรกฏาคม รอบ 19.30 น. เป็นต้นไป
เฉพาะระบบ IMAX, 4DX, ScreenX,Zigma CineStadium และ MX4D
ฉายจริง 10 กรกฎาคม ในโรงภาพยนตร์
รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.superman-thai.com/
#Superman #ซูเปอร์แมน
ผลงานเรื่อง “Superman” ภาพยนตร์เรื่องแรกจากทาง DC Studios สู่จอยักษ์ มีกำหนดฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลกจากวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ด้วยสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของเจมส์ กันน์ที่จะพาซูเปอร์ฮีโร่ต้นฉบับเดิมมาปรับโฉมใหม่ในจักรวาลดีซี พร้อมด้วยการผสมผสานของฉากแอ็คชั่นสุดยิ่งใหญ่ มีมุกตลกและความอบอุ่นที่จะนำเสนอซูเปอร์แมนผู้มีความเห็นใจและความเชื่อมั่นใจในเรื่องคุณธรรมของมนุษย์
ปีเตอร์ ซาฟราน ผู้นำแห่งดีซีสตูดิโอและกันน์ทำหน้าที่อำนวยการสร้างฯ โดยกันน์จะกำกับจากบทของเขาเอง โดยอิงตัวละครต่างๆ จากดีซี ซูเปอร์แมนสร้างขึ้นโดยเจอร์รี่ ซีเกลและโจ ชูสเตอร์
นักแสดงในเรื่อง ได้แก่เดวิด โคเรนสเว็ต (“Twisters,” “Hollywood”) ผู้รับหน้าที่ 2 บทบาท ซูเปอร์แมน/คลาร์กเคนท์, ราเชล บรอสนาฮาน (“The Marvelous Mrs. Maisel”) รับบทลูอิส เลน และ นิโคลาส ฮอลท์ (ภาพยนตร์ “X-Men” , “Juror #2”) รับบทเล็กซ์ ลูเธอร์ ภาพยนตร์ยังร่วมแสดงโดย เอดิ กัทเธกิ (“For All Mankind”) แอนโธนี่ คาร์ริแกน (“Barry,” “Gotham”) นาธาน ฟิลเลียน (ภาพยนตร์เรื่อง “Guardians of the Galaxy” , “The Suicide Squad”) อิซาเบล่า เมอร์เซด (“Alien Romulus”) สกายเลอร์ ไกซอนโด (“Licorice Pizza,” “Booksmart”) ซาร่า ซังไปยู (“At Midnight”) มาเรีย แกเบรียลา เดอ ฟาเรีย (“The Moodys”) เว็นเดลล์ เพียร์ซ (“Selma,” “Tom Clancy’s Jack Ryan”) อลัน ทูไดค์ (“Andor”) พรูอิตต์ เทย์เลอร์ วินซ์ (“Bird Box”) และเนวา โฮเวลล์ (“Greedy People”)
ภาพยนตร์เรื่อง “Superman” อำนวยการสร้างบริหารฯ โดยนิโคลาส คอร์ดา, แชนทัล นอง โว และ ลาร์ส วินเธอร์ ทีมงานเบื้องหลังกล้องล้วนเป็นทีมงานที่กันน์ร่วมงานประจำ ได้แก่ ผู้กำกับภาพฯ เฮนรี่ บราแฮม ผู้ออกแบบฉาก เบธ มิกเคิล ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย จูเดียนน่า มาคอฟสกี้ และผู้ลำดับภาพ วิลเลียม ฮอย (“The Batman”) และเครก อัลเพิร์ท (“Deadpool 2,” “Blue Beetle”)
ดีซี สตูดิโอส์ นำเสนอภาพยนตร์จาก a Troll Court Entertainment/The Safran Company Production, A James Gunn Film เรื่อง “Superman” จะฉายในโรงภาพยนตร์และระบบไอแมกซ์ในประเทศวันที่ 11 กรกฎาคม 2025 และต่างประเทศวันที่ 9 กรกฎาคม 2025 จัดจำหน่ายโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส
ร่วมพูดคุยกับผู้เขียนบทฯ / ผู้กำกับฯ / ผู้อำนวยการสร้างฯ เจมส์ กันน์
ทำไมคุณเลือกภาพยนตร์ของ DC Studios เรื่องแรกเป็นเรื่อง Superman?
ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริง ข้อแรกคือที่ผมนั่งตรงนี้ไม่ใช่เพราะเป็นความฝันของผม ผมนั่งตรงนี้เพราะความฝันของปีเตอร์ ซาฟราน มันเป็นความฝันของเขามาทั้งชีวิตเรื่องการสร้างหนังซูเปอร์แมน และผมต้องเข้าใจความเป็นตัวเขาที่อ่อนโยน ทำให้ผมได้มากำกับฯ และสร้างหนังเรื่องนี้ แต่ผมคิดว่าซูเปอร์แมนคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่างด้วยเช่นกัน เขาเป็นซูเปอร์ฮีโร่คนแรก เขาเป็นตัวละครที่สำคัญมากของ DC ซึ่งมีอยู่ 3 คน มีแบทแมน ซูเปอร์แมน และวันเดอร์วูแมน เราเห็นเกี่ยวกับวันเดอร์วูแมนและแบทแมนมาเยอะแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับซูเปอร์แมน ผมเลยรู้สึกว่ามันคือเรื่องสำคัญที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วด้วย DC Studios โดยเริ่มต้นจากซูเปอร์แมน
ช่วงเวลาที่คุณต้องไขปริศนาเป็นแบบไหน พูดง่ายๆ คือเริ่มสร้างเรื่องราวซูเปอร์แมนขึ้นมาอย่างไร?
มันอยู่ในช่วง 2-3 หน้าแรกที่ผมต้องเล่นกับอะไรหลายอย่าง แต่ช่วงสำคัญคือตอนซูเปอร์แมนกระแทกพื้นที่เหมือนเป็นกลางขั้วโลกเหนือ และเห็นคริปโตที่ดูอ่อนแอพยายามปั่นหัวเขา แต่กลับเป็นฝ่ายชนะและทำให้เขาเจ็บปวดได้ จากนั้นมีป้อมปราการแห่งความสันโดษกับหุ่นยนต์ซูเปอร์แมน จากนั้นมีเล็กซ์และแผนการของเขาที่วางแผนจัดการให้ผู้คนมาทำงานให้เขา ผมคิดว่านั่นคือช่วงที่ผมรู้ว่าจะสร้างอะไรต่อ และพยายามไขปริศนานั้นมานานหลายต่อหลายปี
คุณมีจินตนาการในการสร้างผลงานที่ต่างจากปกติ: สร้างเรื่องราวเกี่ยวกับการทำความดี การเป็นคนดี มันมีจุดเริ่มต้นมาจากไหน?
ตอนที่ผมสร้างเรื่อง Guardians of the Galaxy ผมรู้ว่าเรามีภาพยนตร์แนวไซไฟที่เป็นแนวดาร์กและชวนเศร้ากันมานาน 25 ปีแล้ว ทุกอย่างควรจะดูสมจริงเพราะมันดูหดหู่ ผมรู้สึกว่ามันยังมีความเป็นสีสัน เป็นผลงานเหมือนสมัยก่อนที่ห่างหายไปจากภาพยนตร์ ซูเปอร์แมนคือตัวละครที่เกี่ยวกับการทำความดีและเป็นคนดี เขามีนิสัยดีแต่การเป็นคนดีอย่างบริสุทธิ์ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป ทั้งหมดเกี่ยวกับตัวละครที่เป็นคนดีอย่างบริสุทธิ์นโลกที่ไม่ได้งดงามขนาดนั้น และผมคิดว่ามีบางสิ่งที่เรามองไม่เห็นชัดเจนนัก ทุกคนล้วนมีคุณสมบัติที่ดูไม่เหมาะจะเป็นฮีโร่ได้ ผมคิดว่าเวลาที่ตัวละครดูเป็นคนดี พวกเขามักจะสร้างความสนุกโดยทำให้ตัวละครดูน่าตลก แต่ตัวละครนี้ดูมีตระกูลและงดงาม เขาไม่ได้ถูกต้องเสมอ มีการทำผิดพลาด ผมเข้าใจความรู้สึกเพราะผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่เกี่ยวกับภาพยนตร์ และเพราะอะไรเราถึงรักซูเปอร์แมนมาก? เพราะเขาต่อยดวงดาวหรือหยิบตึกสูงเสียดฟ้าได้? ผมคิดว่าไม่ใช่เลย ผมคิดว่าเป็นเพราะความดีงามในตัวเขาและความมีมนุษยธรรม แม้ว่าเขาจะเป็นคนต่างดาวก็ตาม อันที่จริงเขาไม่รู้สึกอะไรเลยกัการเป็นคนมองโลกแง่ดี และยอมรับที่ตัวเองมีจุดอ่อน
คุณตกหลุมรักตัวละครซูเปอร์แมนครั้งแรกเมื่อไหร่? หนังสือการ์ตูน? ภาพยนตร์ในอดีต?
ผมชอบซูเปอร์แมนมาโดยตลอด ผมคิดว่าตอนเป็นเด็กผมหลงใหลหนังสือการ์ตูนครอบครัวของซูเปอร์แมน มีซูเปอร์แมน ซูเปอร์เกิร์ล คริปโต และทั้งแก๊งค์เลย ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ภาพยนตร์ของริชาร์ด ดอนเนอร์ตอนเป็นเด็ก เพลงประกอบภาพยนตร์และทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนั้นชวนล่องลอยมาก นั่นคือช่วงที่ผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่าภาพยนตร์มีความสำคัญต่อชีวิตของผมขนาดไหน และมันมีความสำคัญต่างจากชีวิตคนอื่น
คุณคิดว่าตัวละครมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงหลายปีนี้ไปขนาดไหน และอะไรคือแรงจูงใจสำคัญต่อซูเปอร์แมนในเวอร์ชันของคุณ?
พลังของซูเปอร์แมนเปลี่ยนแปลงไปในช่วงตลอดหลายปีนี่ มีทั้งขึ้นและลงไม่ได้มีเพียงทิศทางเดียว เวลาที่เขาเริ่มมีพลังก็จะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก สามารถกระโดดข้ามตึกสูงได้ในก้าวเดียว แต่ไม่สามารถบินได้ เขาสามารถต่อยคนแต่ไม่สามารถเอาชนะได้ กระสุนเด้งจากตัวเขาได้แต่ก็มีลิมิต เขามีพลังมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 1970 ก่อนถึงยุคของจอห์น เบิร์นที่เขาเปลี่ยนแปลงรูปทรงของโลกด้วยเพียงหมัดเดียว หรือแม้แต่หนังเรื่องแรกที่ย้อนไปหาช่วงเวลานั้น ผมคิดว่ามันมีหลายช่วงเวลาที่เขาดูมีพลังมาก ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับผมในการคิดภาพเขาให้มีความน่าสนใจอย่างที่ผมต้องการ หรือเข้าใจในตัวเขา แต่ก็มีบางเรื่องเกิดขึ้น อย่างแรกคือผลงานของแกรนท์ มอร์ริสัน เรื่อง All-Star Superman เป็นผลงานที่มีอิทธิพลต่อผมมาก และตรงกับคาวมรู้สึกที่ผมตกหลุมรักในตัวละครนี้ ตอนที่หนังสือเล่มนั้นออกมาผมไม่ใช่เด็กแล้ว มันทำให้เห็นว่าพลังของซูเปอร์แมนมีความน่าสนใจขนาดไหน และเขาเองก็เป็นคนดี มีความมุ่งมั่น ทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง มีความบริสุทธิ์บนความน่าเคารพนั้น และเป็นตัวละครที่น่าสนใจสำหรับผม แกรนท์ทำให้เขามีบางสิ่งที่ผมรัก และมันกลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญ ส่วนแฟรงค์ ควิตลีก็ทำให้เขามีเสน่ห์อย่างที่ผมรัก ด้วยบุคลิกของเขาในมุมนั้นทำให้ถือกำเนิดเป็นซูเปอร์แมนในหนังเรื่องนี้ บอกตามตรงเลยว่าในเรื่องนี้ผมทำให้เขาอ่อนพลังลง เขาจะไม่มีการย้อนเวลาของโลก ไม่ต่อยดวงดาว เขามีความแข็งแกร่งมาก ยกตึกสูงเสียดฟ้าได้ แต่ไม่อยู่ยงคงกระพันขนาดนั้น ในช่วงแรกของเรื่องเราจะเห็นซูเปอร์แมนมีเลือดไหลด้วยซ้ำ สำหรับผมเวลาที่คิดภาพอะไรแบบนั้น ผมจะคิดว่า “เรามาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร?”
สำหรับการแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับซูเปอร์แมนในจินตนาการของคุณ คุณคัดเลือกเดวิด โคเรนสเวตเข้ามา อะไรในตัวที่ตรงกับซูเปอร์แมนและคลาร์ก เคนท์อย่างที่คุณคิดเอาไว้?
ผมคิดว่าใครก็ตามที่ดูหนังจะเข้าใจว่าทำไมเดวิด โคเรนสเวตถึงได้เป็นซูเปอร์แมน เดวิดเป็นคนที่ผมเคยเห็นจากผลงานของเพื่อน ไท เวสต์ ในเรื่อง Pearl พอเห็นแล้วก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นน่าจะมาออดิชั่นบทซูเปอร์แมน และมันน่าสนใจมากเพราะผู้คนมักเริ่มออดิชั่นจากเทปเกี่ยวกับตัวเองที่ส่งมาให้จอห์น แปปไซเดร่า ผู้กำกับฯ คัดเลือกนักแสดงของเรา ผมได้รับเทปเหล่านั้นรอบแรกในช่วงวันแรก มีนักแสดงหลายคนเลย อาจจะมี 30 ซูเปอร์แมนและ 30 ลูอิส แต่ระหว่างนั้นคือช่วงวันแรก ทั้งราเชล บรอสนาฮานอ่านบทลูอิสและเดวิด โคเรนสเวตอ่านบทซูเปอร์แมน ตอนนี้ลูอิสเป็นแบบที่ผมคิดเอาไว้ เพราะลูอิสไม่ได้ถูกจำกัดเรื่องร่างกาย แต่ซูเปอร์แมนมีความเจาะจงมาก ผมเลยกังวลเรื่องการหาซูเปอร์แมนที่เหมาะสมเป็นพิเศษ โชคดีที่ผมเห็นเดวิดอ่านบทในวันแรก เขาทำได้น่าทึ่งเลย หนึ่งในฉากสำคัญคือเขาต้องถกเถียงกับลูอิสเรื่องสถานที่ของเขาบนโลก ซึ่งไม่ใช่ฉากที่ถูกต้องนัก ผมเขียนมันขึ้นมาใหม่เลยออดิชันด้วยฉากนั้นกัน ซึ่งเขาทำได้ดีมาก และผมคิดว่าเวลาที่คุณเห็นเขาฉากนั้นในหนัง คุณจะเข้าใจความเป็นนักแสดงที่น่าทึ่งของเขา ภาพลักษณ์และน้ำเสียงของเขาเหมือนซูเปอร์แมนมาก เขาเหมือนซูเปอร์แมนในชีวิตจริง เขาฟังเพลงแจ๊ซสมัยก่อนและดนตรีแนวสวิง นั่นคือความจริง และคุณจะรู้สึกเกิดเคมีประหลาดกับนักแสดงอย่างเดวิดทันทีเหมือนที่ผมรู้สึก เราสามารถสื่อสารกันได้อย่างตรงไปตรงมาและเปิดอกกันได้ตลอดเวลา
พลังระหว่างซูเปอร์แมน/คลาร์กและลูอิส คือหัวใจสำคัญของเรื่องราวที่คุณสร้างขึ้นมา เราต้องเข้าใจลูอิสในเวอร์ชันของคุณด้านไหนบ้าง?
ผมคิดว่าลูอิสมีอดีตที่วุ่นวายมากกว่าซูเปอร์แมน เพราะโลกของซูเปอร์แมนระเบิดและเขาถูกส่งมาที่นี่ตอนเป็นทารก แต่ความจริงอีกมุมหนึ่งคือซูเปอร์แมนได้รับการเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นจากคน 2 คนที่รักเขา เขาคือแก้วตาดวงใจของทั้งคู่ ขณะที่ผมคิดว่าอดีตของลูอิสวุ่นวายกว่านั้น เธอมีความแกร่ง ผมรักมาร์โกต์ คิดเดอร์ในซูเปอร์แมนของดอนเนอร์ แต่เธออยู่เบื้องหลัง เธอตกหลุมรักซูเปอร์แมน และเขาคือซูเปอร์แมน ผมคิดว่าในเรื่องนี้คุณจะเห็นลูอิสเหมาะกับซูเปอร์แมนมากที่สุด และคุณจะได้เห็นว่าทำไมคนที่ดูเท มีพลัง เป็นคนดีอย่างเขาตกหลุมรักเธอได้ เธอยึดมั่นในอุดมการณ์ณ์และซื่อสัตย์ แต่ผมคิดว่าเธอไม่จำเป็นต้องเชื่อมั่นในความดี และในความสัมพันธ์นี้เกิดจากความรอบคอบของลูอิสและความบริสุทธิ์ของซูเปอร์แมน พวกเขาเดินไปด้วยกันอย่างงดงาม
ราเชล บรอสนาฮานสวมบทบาทเธอเป็นอย่างไรบ้าง?
ราเชลเป็นคนมีความกระตือรือร้น และตัวละครก็เป็นเช่นนั้น เธอมีพลัง สนุกสนาน ไหวพริบไว และเป็นคนกระตือตือร้น ผมจำตอนที่ราเชลหันมาหาผม เธอพูดว่า “ฉันกลัวการรับบทนี้จัง” ผมถามกลับว่าทำไม? เธอตอบ “เพราะไม่เคยเล่นบทไหนที่ใกล้เคียงตัวเองขนาดนี้มาก่อนเลย” และผมคิดว่าเป็นเรื่องจริง ผมว่าราเชลเหมือนลูอิสในหลายด้าน และซูเปอร์แมนก็เหมือนเดวิดในหลายด้าน ต่างกับนิคเลย! นิคไม่มีอะไรเหมือนเล็กซ์ ลูเธอร์เลยสักนิด ไม่ว่าจะมุมไหนก็ตาม [หัวเราะ]
คุณอาจจะเลือกนักแสดงที่ไม่ตรงกับบทก็ได้ สำหรับนิโคลาส ฮอลท์ในบทเล็กซ์ ลูเธอร์?
นิคเป็นคนที่น่ารักและอ่อนโยนมาก พูดจานุ่มนวล ดูไม่มีอีโก้เลย เขามักจะใช้เวลาร่วมกับทีมงาน ออกไปกินข้าวด้วยกัน และไม่มีท่าทางหยิ่งหรือถือตัวใดๆ เขาไม่ใช่เล็กซ์ ลูเธอร์แบบที่นึกถึงแน่นอน เขาทำงานหนักมากจริงๆ คอยพยายามให้ในสิ่งที่ผมต้องการตลอดเวลา และผมก็ผลักดันเขาหนักที่สุดในบรรดาทุกคนในหนังเรื่องนี้ เพื่อเจาะลึกเข้าไปในตัวตนของตัวละคร ซึ่งเป็นเด็กเกเรในโรงเรียนที่โตขึ้นมาเป็นอัจฉริยะเห็นแก่ตัว แต่กลับไม่มั่นคงในเวลาเดียวกัน เล็กซ์ไม่เคยเห็นว่าตัวเองเป็นวายร้าย ขอพูดตามตรงถ้าเขาไม่ทำบางสิ่งบางอย่างในหนังเรื่องนี้ คนดูจำนวนมากอาจจะเห็นใจเขาด้วยซ้ำ ผมคิดว่าเล็กซ์มองซูเปอร์แมนเหมือนกับที่ศิลปินหลายคนรู้สึกกับ AI เพราะเขาเป็นคนที่เก่งที่สุดและประสบความสำเร็จที่สุดในทุกด้าน แล้วจู่ๆ ก็มีมนุษย์ต่างดาวปรากฏตัวขึ้นมาในชุดประหลาด แล้วเด็กๆ และผู้คนในเมโทรโพลิสก็รักเขาทันที เขามองว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมและอันตรายด้วย เขาไม่ไว้ใจซูเปอร์แมน ความต้องการของเขาส่วนใหญ่มาจากความอิจฉาและความริษยา ผมคิดว่าเขาก็มีความกังวลต่อโลก และต่อความหมายที่ซูเปอร์แมนนำมาด้วย และในบางมุมเขาก็ทำจากเจตนาที่ดีบ้าง แม้จะเป็นเพียงบางส่วนก็ตาม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาทำถูก มันไม่ใช่เลย และซูเปอร์แมนก็ไม่ใช่ภัย เขาเป็นพลังที่ดีต่อโลก ในสายตาของเล็กซ์มองเขาเป็นอันตราย ผมคิดว่านั่นก็สมเหตุสมผลในแบบของเขา ไม่ได้จะบอกว่าเล็กซ์เป็นคนดี หรือเป็นคนที่คุณอยากชวนมาทานอาหารมื้อสายด้วย แค่จะบอกว่า เหตุผลเบื้องหลังการกระทำที่เลวร้ายของเขานั้นก็พอจะเข้าใจได้อยู่บ้าง
เล็กซ์ ลูเธอร์อาจจะต่อต้านซูเปอร์แมน แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธการใช้เมตาฮิวแมนในเวอร์ชันของตัวเอง ช่วยเล่าเกี่ยวกับดิ เอ็นจิเนียร์หน่อยได้ไหม?
ดิ เอ็นจิเนียร์เป็นตัวละครที่น่าสนใจ ซึ่งผมใส่เข้ามาในหนังเรื่องนี้เพราะเธอมาจากหนังสือชุด The Authority ซึ่งเป็นการ์ตูนจากค่าย WildStorm เดิม ซึ่งเป็นซีรีส์ที่ผมชอบมาก ต่อมาถูก DC ซื้อไป แล้วตัวละครพวกนี้ก็กลายมาเป็นของ DC ผมชอบ The Engineer หรือแองเจล่า สไปก้ามาตลอด ผมว่าตัวละครนี้เท่มาก เธอเป็นตัวละครที่ดีในหนังสือการ์ตูน และผมไม่คิดว่าแองเจล่าเป็นคนเลวเลย เธอกับเล็กซ์ ลูเธอร์มีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างแปลก ไม่ได้เป็นแค่เพื่อนธรรมดาเท่านั้น ผมคิดว่าแองเจล่ามีความรู้สึกลึกซึ้งกับเล็กซ์ และเล็กซ์เองก็รู้สึกกับเธอในระดับเดียวกัน ร่างกายของเธอประกอบไปด้วยนาโนแมชชีน ซึ่งแน่นอนว่ามันอาจจะยังไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้จริง แต่ในจักรวาลของ DC มันคือเรื่องจริง และเธอสามารถเปลี่ยนร่างกายของเธอให้กลายเป็นสิ่งใดก็ได้โดยใช้นาโนเหล่านี้ เธอจึงทรงพลังมาก ถึงขั้นที่สามารถรับมือกับซูเปอร์แมนได้ และเล็กซ์ก็ฉลาดมากจนสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ไหนก็ตามแล้วมองเห็นได้เป็นล้านทางว่ามันจะจบยังไง พร้อมกับเลือกทางออกที่ดีที่สุด เขาสามารถคาดเดาว่าคุณจะทำอะไรต่อไปโดยอิงจากเหตุผลและตรรกะ เล็กซ์มีเธออยู่ใกล้ตัวด้วยเหตุผลบางอย่าง
ช่วยเล่าเกี่ยวกับอีฟ เทสช์มาเชอร์หน่อย อะไรทำให้คุณถึงตัดสินใจใส่เธอเข้ามาในเรื่อง?
อีฟ เทสช์มาเชอร์เป็นตัวละครที่มีพื้นฐานมาจากตัวละครในภาพยนตร์ของ Richard Donner ไม่ใช่ตัวละครดั้งเดิมจากการ์ตูน ผมชอบหยิบเอาองค์ประกอบจากหลายๆ แหล่งมาผสมกัน ทั้งจากภาพยนตร์ หนังสือการ์ตูน ซีรีส์ทางทีวี และจักรวาล WildStorm จริงๆ แล้วบทของอีฟกับมิสเตอร์เทอร์ริฟิคเป็น 2 บทที่คัดเลือกนักแสดงได้ยากที่สุดเลย เราทดลองกับนักแสดงมาหลายรอบ ทำสกรีนเทสต์หลายครั้ง ผมนั่งดูวิดีโอเฉพาะบุคคลเยอะมาก เพื่อเลือกว่าจะให้ใครมาทดสอบหน้ากล้อง ตอนดูเทปของซาร่า ซังไปยู ผมก็จดชื่อเธอเอาไว้แต่ก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ จนกระทั่งภรรยาผมนั่งอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “ผู้หญิงคนนี้มีอะไรบางอย่างที่พิเศษ” เลยพาเธอมาทดสอบหน้ากล้อง และเธอก็กลายเป็นคนที่ดีที่สุดจริงๆ อีฟเป็นตัวละครที่น่าสนใจ เธอมีข้อบกพร่อง และผมคิดว่าเธอก็ค่อนข้างไร้เดียงสาในตอนที่เข้ามาในเรื่องนี้ รวมถึงในสิ่งที่เธอคิดว่ากำลังเกิดขึ้นด้วย
คุณยังใส่เมตาฮิวแมนกลุ่มอื่นในเมโทรโพลิสด้วย พวกเขาคือใครกันแน่จัสติสแก๊งค์?
จัสติสแก๊งค์เป็นกลุ่มที่โดยพื้นฐานแล้วพยายามทำในสิ่งที่ดี แต่พวกเขาทำแบบเละเทะ ไม่ได้ให้คุณค่ากับชีวิตหรือทรัพย์สินเท่าที่ควร พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเอกชนที่ให้เงินทุนเพื่อให้ทำสิ่งที่ทำอยู่ ซึ่งพวกเขาก็ใช้การทำดีเหล่านั้นเพื่อโปรโมตบริษัทที่ชื่อว่า LordTech สมาชิกจัสติสแก๊งค์น่าจะมีรายได้ดีทีเดียวจากงานนี้เอดี้ กาเธกิ แสดงเป็นมิสเตอร์ เทอร์ริฟิคได้สุดยอดมาก ตัวละครนี้เป็นหนึ่งในตัวโปรดของผมจากการ์ตูน ไม่ว่าจะเป็น T-Craft, T-Spheres ทุกอย่างเกี่ยวกับเขาสนุกมาก และเขาก็ฉลาดสุดๆ ระดับเดียวกับเล็กซ์ ลูเธอร์เลย แต่ต่างกันตรงที่เขามีความยับยั้งชั่งใจ เขารอบคอบ และจะไม่สร้างสิ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อโลกเอดี้แสดงบทนี้อย่างจริงจัง ฉลาด และดูเท่มาก กาย การ์ดเนอร์ก็เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ผมชอบมากจากคอมมิกของ DC โดยเฉพาะในยุค Justice League International ผมคิดว่าเขายอดเยี่ยมมาก เขาเป็นกรีนแลนเทิร์นจอมกวนที่มีบุคลิกน่าหมั่นไส้ ผมไม่อยากให้ทุกตัวละครในเรื่องเป็น “คนดี” ไปหมดกายเป็นตัวละครหายากในคอมมิกที่เป็นที่จดจำได้เพราะ “นิสัย” มากกว่าหน้าตา แม้หน้าตาของเขาก็… แย่เอาเรื่องนะ และมันก็เป็นข้ออ้างที่ดีในการให้นาธาน ฟิลเลียนไว้ทรงผมบล็อกหัวเห็ด ซึ่งผมสนุกมากกับไอเดียนั้น ฮอว์คเกิร์ลก็เป็นอีกคนที่โหดเอาเรื่อง เธอไม่ใช่คนที่ “ใจดี” นัก แม้เธอจะมีจิตใจที่ดีอยู่ลึกๆ แต่เธอก็ทำอะไรที่รุนแรงพอสมควร และอิซาเบล่า มาร์เซดก็แสดงได้เยี่ยมจริงๆ
และคุณยังมีทีมงานของเดลี่ แพลเน็ทด้วย เช่น จิมมี่ โอลเซน, เพอร์รี่ ไวท์…
จิมมี่ โอลเซนเป็นคนตลก และทุกคนก็รักเขา เขาเป็นคนที่กระตือรือร้นกับทุกเรื่องแบบสุดๆ แต่เขาก็มีเสน่ห์แบบพีท เดวิดสัน เป็นคนที่สาวๆ ทุกคนตกหลุมรัก จะมีใครเหมาะกับบทจิมมี่ไปกว่าสกายเลอร์ จีซอนโดได้อีก? แคท แกรนท์, สตีฟ ลอมบาร์ด, บิลล์ — เบ็ค เบ็นเน็ตต์แสดงได้ยอดเยี่ยมมาก ส่วนเว็นเดลล์ เพียร์ซคือนักแสดงที่ผมชื่นชมมานานตั้งแต่ซีรีส์ The Wire การได้ร่วมงานกับเขาถือว่ายอดเยี่ยมมากจริงๆ เขาเป็นเพอร์รี่ ไวท์ที่สุดยอดมาก
ในช่วงแรกภาพยนตร์ คุณแนะนำตัวละครที่เป็นขวัญใจแฟนการ์ตูนมายาวนานอย่าง Krypto ในช่วงที่ Superman กำลังอยู่ในจุดเปราะบางที่สุด อะไรเป็นแรงจูงใจให้คุณใส่เขาเข้ามา?
คริปโต เดอะ ซูเปอร์ด็อก! สุนัขซูเปอร์ฮีโร่จาก DC Comics ตัวละครเล็กๆ ที่ผมชอบเขามาตลอด — เพราะผมชอบสุนัขอยู่แล้ว ก็แน่นอนว่าผมต้องชอบเขาด้วย สำหรับผมในฉากเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด มันเป็นเหมือนการค้นหาว่าซูเปอร์แมนมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และเกิดอะไรขึ้นกับเขา การให้คริปโตมาช่วยเขาในตอนต้นเรื่อง เป็นการเติมมุมมองใหม่ให้กับหนัง Superman เรื่องนี้โดยเฉพาะ มันไม่ใช่ Superman เวอร์ชันของดอนเนอร์ ไม่ใช่ Superman เวอร์ชันของแซ็ค สไนเดอร์ แต่มันคือซูเปอร์แมนเวอร์ชันใหม่ เวอร์ชันที่มีซูเปอร์ด็อกบินได้และยิงลำแสงจากตา มีเหล่าซูเปอร์ฮีโร่คนอื่นๆ อยู่ด้วย โลกในเรื่องเป็นโลกที่เมตาฮิวแมนมีมานานหลายปีแล้ว และซูเปอร์แมนก็แค่บังเอิญเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่พวกเขา แม้ว่าเราจะได้เจอกับเขาในช่วงที่ยังไม่ได้เป็นคนสำคัญก็ตาม
ช่วยเล่าเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของคริปโตเวอร์ชันของคุณหน่อยได้ไหม?
คริปโตได้แรงบันดาลใจมาจากสุนัขของผมเอง ชื่อว่า โอซุ ตั้งชื่อตามผู้กำกับชาวญี่ปุ่นผู้ยิ่งใหญ่ ยาสุจิโร่ โอซุ เรารับเขามาจากศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ ซึ่งมีสุนัขอยู่เต็มไปหมด และเขาเป็นเพียงตัวเดียวที่กลัวผมสุดๆ เขาผอมแห้งมาก แต่มีหูข้างหนึ่งชี้ตั้งขึ้นเหมือนเสาอากาศ และมันก็เหมือนเป็น “เสาสัญญาณ” เรียกผมเข้าไปหา ไม่รู้ทำไม ผมกลับรู้สึกถูกดึงดูดโดยเจ้าหมาบ้าๆ ตัวนี้ และผมก็พาเขากลับบ้าน เขาไม่รู้จักมนุษย์เลย ตอนนั้นเขาอายุประมาณ 1 ปี ไม่เคยถูกสัมผัสหรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนจริงๆ เขาเลยแทบไม่สนใจผมเลยแม้แต่น้อย แต่เขากลับหลงรักสุนัขอีกตัวของผมทันที เดินตามเธอไปทุกที่จนรบกวนเธอสุดๆ แล้วเขาก็เริ่ม… ทำลายบ้านผม เขาทำลายเฟอร์นิเจอร์พังหมด กัดรองเท้าทุกคู่ที่หาเจอ กินแล็ปท็อปผมไปจริงๆ ทำลายจนใช้งานไม่ได้เลย และทุกครั้งที่มีอะไรที่ดูคล้ายสัตว์ปรากฏบนหน้าจอ เขาจะกระโจนใส่ทีวีและโจมตีเฟอร์นิเจอร์รอบๆ ทีวีทันที เขาเป็นหมาที่แย่ที่สุดเท่าที่คุณจะจินตนาการได้ เขากัดเท้าผมตลอดเวลา จนผมต้องใส่รองเท้าเดินในบ้าน ทั้งที่ปกติผมชอบเดินเท้าเปล่าในบ้าน ตอนที่ผมคุยโทรศัพท์ เขาจะกัดเท้าผม แล้วผมก็ไม่สามารถกรี๊ดใส่เขา หรือแม้แต่กรี๊ดเพราะเจ็บได้ ผมเลยต้องปีนขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์ครัว กอดขาตัวเองหลบอยู่ในมุม แล้วจู่ๆ เขาก็กระโดดขึ้นมาบนเคาน์เตอร์แล้วกัดเท้าผมต่อ และไม่รู้ทำไมผมก็คิดขึ้นมาว่า “ถ้าเจ้าหมาบ้าที่แย่ที่สุดตัวนี้มีพลังซูเปอร์ฮีโร่ล่ะ?” เราคงซวยกันหมดแน่ๆ นั่นล่ะคือจุดเริ่มต้น คริปโตอาจจะเป็นหมาแย่ๆ ก็ได้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้ การใส่ตัวละครหมาที่ทั้งบ้า ทั้งป่วน แบบไม่คาดคิดเข้ามา เพราะจริงๆ แล้วคริปโตก็คือโอซุนั่นแหละ เราพาโอซุไปสแกนร่างจริงๆ เพราะเขาไม่สามารถจะไปแสดงแทนตัวเองได้เลย เรามีสุนัขอีกตัวชื่อโจลีนซึ่งเป็นหมาที่น่ารักมาก ฉลาด เป็นสุนัขที่มีมารยาทอย่างแท้จริง ไม่งี่เง่าเหมือนโอซุของผม แล้วเราก็นำแบบจำลองของ โอซุมาขยายตัวให้ใหญ่ขึ้นนิดนึง เปลี่ยนสีให้เป็นขาว แล้วนั่นแหละคริปโตในหนัง
นอกจากเมตาฮิวแมนแล้ว คุณยังเลือกใส่องค์ประกอบอื่นๆ จากจักรวาลซูเปอร์แมนเข้ามาอีกมาก…
ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้สามารถแตกต่างออกไปได้ โดยการนำเอาองค์ประกอบแบบ magical realism หรือความแฟนตาซีในแบบซูเปอร์มาใช้ เช่น หมาบินได้ ไคจูยักษ์ หุ่นยนต์ผู้ช่วย และอะไรสนุกๆ แบบนั้น ในขณะที่ยังทำให้ตัวละครซูเปอร์แมนติดดินและมีความสมจริงอยู่ เขายังคงเป็นตัวละครที่มีรากฐานอยู่ในบุคลิกของตัวเอง ในความสัมพันธ์กับตัวละครอื่นๆ และเนื้อเรื่องที่ขับเคลื่อนด้วยการเลือกของเขาเอง ไม่ใช่ถูกกำหนดโดยพลังภายนอกใดๆ บทหนังเรื่องนี้เลยเขียนสนุกมากเพราะเหตุผลนั้น และมันก็แตกต่างจากสิ่งที่ผมเคยเขียนมาก่อนโดยสิ้นเชิง แน่นอนว่ามันมีองค์ประกอบไซไฟอยู่บ้าง แต่ในบางแง่ ผมว่าจริงๆ แล้วซูเปอร์แมนยังติดดินกว่าหนัง Guardians of the Galaxy ซะอีก เพราะประเด็นสำคัญคือมันไม่ใช่หนังตลกแต่ในอีกมุมหนึ่ง มันก็มีความแฟนตาซีสุดขั้วแบบแปลกๆ มากกว่าด้วย มันเป็นหนังการ์ตูนที่ไปให้สุดกับทุกอย่างใหญ่โตอลังการ เหมือนผลงานของแกรนท์ มอร์ริสัน เรื่อง All-Star Superman เคยทำไว้ เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นความท้าทายสำหรับผมมากจริงๆ
คุณมีความร่วมมือที่ยอดเยี่ยมกับหัวหน้าแผนกของคุณ ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญกับคุณ?
หัวหน้าแผนกของผมแทบจะเป็นทีมเดิมตลอดในหนังหลายเรื่องที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเบธ มิกเคิล ผู้ออกแบบฉากฯ จูเดียนนา มาคอฟสกี้ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เฮนรี่ บราแฮม ผู้กำกับภาพ และลาร์ส วินเธอร์สที่เริ่มต้นเป็นผู้ช่วยผู้กำกับของผมใน Guardians of the Galaxy Vol. 2 และตอนนี้เป็นหัวหน้าฝ่ายโปรดักชันของ DC Studios ผมทำงานกับคนกลุ่มเดิมซ้ำๆ เพราะเราสื่อสารกันได้ในแบบที่ใกล้ชิดเข้าใจกันดี รู้ว่าแต่ละคนต้องการอะไร คาดหวังอะไร พวกเขารู้จักนิสัยเฉพาะของผมดี รู้ว่าผมมักจะโฟกัสกับเรื่องอะไร รู้ทั้งจุดแข็งจุดอ่อนของผม พูดง่ายๆ คือ เราเหมือนครอบครัว และการมีครอบครัวเหล่านี้อยู่รอบตัว ทำให้การถ่ายหนัง ซึ่งเป็นงานที่ยากมาก กลายเป็นอะไรที่สนุกขึ้นเยอะเลย
เรามาคุยกันเรื่องสถานที่ในภาพยนตร์กันบ้าง เริ่มจากป้อมแห่งความสันโดษที่คุณไปถ่ายทำที่สฟาลบาร์ด ประเทศนอร์เวย์
ป้อมแห่งความสันโดษในเวอร์ชันดั้งเดิมเกิดขึ้นในยุคที่คุณสามารถมีป้อมอยู่กลางแอนตาร์กติกาโดยไม่มีใครรู้ แต่นั่นไม่ใช่ความจริงของโลกทุกวันนี้ที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก ในหนังของเราป้อมแห่งนี้จะจมอยู่ใต้ดิน และจะ โผล่ขึ้นมาก็ต่อเมื่อซูเปอร์แมนเข้าใกล้เท่านั้น เพราะมันตอบสนองต่อดีเอ็นเอของเขา การออกแบบจึงต้องสะท้อนสิ่งนี้ เราได้รับแรงบันดาลใจมากมายจากหนังของริชาร์ด ดอนเนอร์ รวมถึงจากดีไซน์ในคอมิกตลอดหลายปีที่ผ่านมา แล้วก็นำมาสร้างเป็นสไตล์ของเราเอง แน่นอนว่าเราก็ใส่เทคโนโลยีระดับสูงในแบบของซูเปอร์แมน เช่น หุ่นยนต์ซูเปอร์แมน ซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างมากจาก All-Star Superman เบธ (มิกเคิล) ออกแบบพื้นที่ให้ดูเหมือนมหาวิหารแห่งผลึกที่สวยงามมาก เราตัดสินใจไปถ่ายทำที่สฟาลบาร์ดเพราะผมอยากให้โลเคชันนั้นสมจริง ใช้แสงธรรมชาติ พื้นผิวตามภูมิประเทศจริงๆ จะได้เห็นรายละเอียดจากธรรมชาติที่จินตนาการของมนุษย์อย่างเดียวอาจสร้างไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึง ลมหายใจที่กลายเป็นไอที่มองเห็นได้ชัดเจน เพราะมันหนาวจริงๆ ผมอยากให้สถานที่แห่งนี้ดูงดงามที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และให้แน่ใจว่าผลงานทั้งเรื่องจะเป็นงานภาพที่สวยงามอย่างต่อเนื่อง
คุณถ่ายทำที่คลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของซูเปอร์แมน มันเป็นยังไงบ้างสำหรับคุณ?
โอไฮโอเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผมชอบมากที่สุดในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ การได้ถ่ายทำในคลีฟแลนด์ บ้านเกิดของซูเปอร์แมน ที่นั่นคือที่ที่เจอร์รี ซีเกล และโจ ชูสเตอร์ คิดค้นไอเดียของซูเปอร์แมนขึ้นมา ดังนั้นที่นั่นจึงเป็นสถานที่ที่เขาถือกำเนิดขึ้นมา แต่จริงๆ แล้วเราไม่ได้เลือกถ่ายทำที่นั่นเพราะซูเปอร์แมนถือกำเนิดที่นั่น เราเลือกที่นั่นเพราะมีสถาปัตยกรรมสไตล์อาร์ตเดโคที่สวยงามมาก ซึ่งเป็นลุคที่เราต้องการให้เมืองเมโทรโพลิสมี มันบังเอิญพอดีที่เมืองนั้นทั้งตรงตามที่เราต้องการ และยังเป็นบ้านเกิดของซูเปอร์แมนอีกด้วย ผู้คนที่นั่นน่ารักมาก ทีมงานและผู้ช่วยการผลิตที่เราทำงานด้วยที่นั่นก็ยอดเยี่ยม คณะกรรมาธิการภาพยนตร์ก็ร่วมงานด้วยได้ดีมาก เรามีช่วงเวลาที่ดีในการถ่ายทำที่คลีฟแลนด์ และที่ซินซินเนติ ซึ่งเป็นที่ที่เราถ่ายทำสำนักงานใหญ่ของจัสติสแก๊งค์ โดยใช้สถานีรถไฟเก่าในซินซินเนติเป็นโลเคชันถ่ายทำ ซึ่งก็เจ๋งมาก ทั้งสองเมืองนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ
เล่าถึงการถ่ายทอดภาพของ Daily Planet สิ่งที่ขาดไม่ได้ในหนังซูเปอร์แมนทุกเรื่อง?
เราเซ็ตฉากของ Daily Planet ขึ้นที่เมืองเมคอน รัฐจอร์เจีย เป็นฉากห้องข่าวแบบคลาสสิกเลย เรามีพื้นที่ของสตีฟ ลอมบาร์ด ซึ่งแสดงโดยเบ็ค เบนเน็ตต์ พื้นที่ของคลาร์ก เคนต์ โต๊ะของจิมมี่ โอลเซ่น, แคท แกรนท์, ลอยส์ เลน และรอน ทรูป นี่คือกลุ่มตัวละครหลักของเราที่อยู่ใน Daily Planet และแน่นอนว่าเพอร์รี ไวต์ก็มีห้องทำงานของตัวเองด้วย ฉากนี้ถูกออกแบบโดยเบธ มิกเคิล และมันยอดเยี่ยมมากจริงๆ เป็นหนึ่งในฉากที่ผมชอบที่สุดที่เราได้ถ่ายทำ ผมอยากให้เราได้อยู่ที่นั่นนานกว่าสามวันด้วยซ้ำ เพราะมันน่าทึ่งมากที่ได้เห็นตัวละครเหล่านี้ที่ผมอ่านมาตั้งแต่เด็ก และเห็นพวกเขาถูกถ่ายทอดออกมาผ่านสื่อหลากหลายรูปแบบ เพอร์รี ไวต์, ลอยส์ เลน, จิมมี่ โอลเซ่น… เราเห็นพวกเขามาหลายเวอร์ชันแล้ว การได้เห็นทีมนักแสดงชุดนี้มารับบทเหล่านี้และทำได้ดีเยี่ยมมันสนุกมากเลย
คุณเข้าถึงการถ่ายทำฉากบินในหนังเรื่องนี้ต่างไปอย่างไร?
มันซับซ้อนมากครับ วิธีที่เราเลือกใช้ในการถ่ายทำฉากบินนั้นต้องใช้หลายเทคนิค และเดวิดต้องเข้าชุดสลิงหลายแบบ โชคดีมากที่เดวิดเป็นคนที่ร่างกายแข็งแรงและเล่นกีฬาเก่ง เขาเลยสามารถทำทุกอย่างออกมาได้ดี เราทำงานร่วมกับเวย์น ดัลกลิช ผู้ประสานงานฉากสตันต์ของเรา เพื่อสร้างสไตล์การบินที่ดูสมจริงที่สุดให้ผู้ชมรู้สึกได้ในเชิงกายภาพ ผมได้แรงบันดาลใจมาจากการดูฟุตเทจของเครื่องบินรบเจ็ต และคิดว่ามนุษย์จะรู้สึกอย่างไรถ้าบินได้จริงๆ แล้วคุณจะสังเกตได้ว่ามีหลายอย่างที่คุณไม่เคยเห็นในหนังซูเปอร์แมนมาก่อน เช่น คนที่บินด้วยความเร็วเหนือเสียง แต่ผมของเขาแค่พริ้วเบาๆ เท่านั้นเอง เราอยากแสดงให้เห็นว่าผมของเขาควรจะปลิวแรงแค่ไหนเมื่อเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเสียงจริงๆ มันเป็นอะไรที่ซับซ้อนมาก แต่ก็สนุกมากด้วยเช่นกัน ตั้งแต่แรกผมเขียนแนวคิดยาวประมาณ 4 หน้าเกี่ยวกับทฤษฎีของฉากแอ็คชัน และวิธีที่เราจะถ่ายทำมัน เพราะเรายังต้องการให้กล้องรู้สึกเหมือนถูกถือโดยคนที่บินอยู่ด้วยจริงๆ ดังนั้นกล้องจะเคลื่อนไปรอบๆ ตัวเขามาก และจะไม่ถ่ายแบบตัดฉากเป๊ะๆ เพราะถ้าอย่างนั้น กล้องพวกนั้นควรอยู่ที่ไหนล่ะ? ควรติดตั้งง่ายๆ อย่างไร? มันต้องดูเหมือนกำลังตามติดการบินของตัวละครจริงๆ มันเป็นอะไรที่สนุกมากจริงๆ สำหรับผมในการถ่ายฉากเหล่านี้ เป็นงานที่สนุกสุดๆ
ร่วมพูดคุยกับผู้อำนวยการสร้างฯ ปีเตอร์ ซาฟราน
คุณมีผลงานภาพยนตร์ในฐานะผู้อำนวยการสร้างฯ มากมาย อะไรคือสิ่งที่พิเศษที่สุดกับการมาถึงจุดนี้กับการได้สร้าง Superman?
มันคือความฝันที่กลายเป็นจริงครับ ผมอยากสร้างหนัง Superman มาตั้งแต่ปี 1978 ตอนที่ได้ดูเวอร์ชันของริชาร์ด ดอนเนอร์ กับคริสโตเฟอร์ รีฟ ตอนนั้นผมยังเป็นวัยรุ่นอยู่ในลอนดอน ดูหนังที่เลสเตอร์สแควร์ แล้วนับตั้งแต่นั้นผมก็อยากทำหนังซูเปอร์แมนมาโดยตลอด ดังนั้น การได้มาสร้างหนังเรื่องนี้กับคนที่ผมคิดว่าเป็นผู้กำกับหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เก่งที่สุดในตอนนี้ เจมส์ กันน์ มันคือฝันที่เป็นจริง การถ่ายทำก็ยอดเยี่ยมมาก เราสามารถทำทุกอย่างที่อยากทำได้ เพื่อเล่าเรื่องนี้ในแบบใหม่ และนำ Superman มาสู่คนรุ่นใหม่จริงๆ รวมถึงการสร้างเดวิด โคเรนส์เวตให้กลายเป็นซูเปอร์แมนรุ่นต่อไป การทำหนังเรื่องนี้สนุกมากจริงๆ นักแสดงทุกคนรวมตัวกันด้วยพลังบวก ทุกคนสมัครใจมาร่วมงาน ไม่ใช่แค่โดนทาบทาม ทุกคนอยากมาอยู่ตรงนี้ด้วยกัน เราเริ่มถ่ายทำกันที่สฟาลบาร์ด ประเทศนอร์เวย์ อุณหภูมิลบ 15 องศา และเดวิด โคเรนส์เวตก็นอนอยู่บนพื้นน้ำแข็งในหิมะ แต่เขายังยิ้มอยู่เลย เพราะเขาตื่นเต้นกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ พลังบวกแบบนั้นส่งต่อไปตลอดทั้งกองถ่าย จากนอร์เวย์ถึงแอตแลนตา คลีฟแลนด์ ซินซินเนติ จนถึงวันสุดท้ายของการถ่ายทำ มันมีบรรยากาศของความหวัง ความอบอุ่น ความรู้สึกดีๆ ซึ่งสะท้อนกับโทนของตัว Superman เอง และกับหนังที่เราตั้งใจจะสร้างไว้จริงๆ มันดีมากครับที่ตัวการผลิตสามารถสะท้อนอุดมคติของตัวหนังออกมาได้แบบนั้น
สิ่งที่เจมส์ กันน์เสนอให้คุณในฐานะแนวทาง “เข้าสู่เรื่องราว” คือสิ่งที่ผู้ชมจะได้เห็นบนจอหรือเปล่า?
เจมส์โทรมาบอกว่า “ผมมีทางเข้าเรื่องแล้วนะ” หมายถึงในเชิงธีมหลักของเรื่อง “ผมรู้แล้วว่าหนังเรื่องนี้ควรพูดถึงอะไร” และตั้งแต่ตอนที่เขาคิดตรงนั้นได้ ก็ไม่เคยเบี่ยงเบนไปจากจุดนั้นเลย กับหนังทุกเรื่องโดยเฉพาะหนังซูเปอร์ฮีโร่ คุณต้องตั้งคำถามว่าทำไม ทำไมเราต้องเล่าเรื่องนี้? ทำไมต้องเล่าตอนนี้? ซึ่งเจมส์เป็นคนที่คิดเรื่องพวกนี้อย่างตั้งใจมาก เขามีธีมหลักที่อยากจะสำรวจ มีประเด็นเกี่ยวกับสภาพความเป็นมนุษย์ที่เขาอยากพูดถึง ซึ่งมันไม่ใช่อะไรที่หาได้ง่ายๆ หรือนำมาสร้างหนังใหญ่ระดับนี้ได้เสมอไป เขาพูดถึงการสำรวจคำถามว่า “คุณจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร ถ้ามีมุมมองแบบซูเปอร์แมน” มุมมองที่ดีและมีเมตตาโดยพื้นฐาน ในโลกที่เป็นอยู่จริงในตอนนี้ และเพราะซูเปอร์แมนเป็นตัวละครที่ดีโดยเนื้อแท้ และทรงพลังมากโดยธรรมชาติ คุณอาจคิดว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้เขาเป็นตัวละครที่ดูไม่น่าสนใจนักเมื่อเทียบกับตัวเอกแบบอื่นๆ ซึ่งในอดีตก็อาจเป็นแบบนั้น เพราะเขาไม่ได้มีความลึกทางอารมณ์หรือความขัดแย้งภายในมากเท่าตัวละครบางตัวที่หนังแนวนี้มักใช้เป็นศูนย์กลาง แต่เจมส์ให้ความสำคัญกับมันอย่างจริงจัง และเขามองเห็นว่ามันมีบางสิ่งที่ควรค่าแก่การสำรวจ อย่างการตัดสินใจที่หล่อหลอมให้เราเป็นเราในวันนี้ การเปรียบเทียบระหว่างต้นกำเนิดของซูเปอร์แมนในคริปตัน กับการเติบโตในฐานะมนุษย์บนโลก แนวคิดที่ว่า “คุณจะอยู่รอดในโลกยุคปัจจุบันได้ไหม หากคุณยังเลือกที่จะมองเห็นแต่สิ่งดีๆ ในผู้คน” สำหรับผม นั่นคือคำถามที่น่าสนใจที่สุด และสมควรอย่างยิ่งที่จะหยิบมาขยายในหนังเรื่องนี้ และผมคิดว่าเมื่อผู้ชมได้ดูหนัง พวกเขาจะสัมผัสได้ว่าธีมนี้มันทรงพลังมากจริงๆ ครับ
นอกจากความฝันที่อยากทำหนัง Superman มาตลอดแล้ว อะไรทำให้ซูเปอร์แมนเป็นตัวละครที่เหมาะสมในการเปิดจักรวาลภาพยนตร์ใหม่ของ DC Studios?
ซูเปอร์แมนคือต้นแบบของซูเปอร์ฮีโร่ทั้งหมด และมันก็ผ่านมาเกินกว่าสิบปีแล้วตั้งแต่ที่มีหนัง Superman แบบเดี่ยวเรื่องล่าสุด และในบรรดาหนังที่ออกมาในช่วงหลังๆ นั้น ก็ยังไม่มีเรื่องไหนที่ถ่ายทอดความรู้สึกแห่งความหวังและความมองโลกในแง่ดีแบบที่เราต้องการนำเสนอในหนังของเราได้ ซึ่งสิ่งนั้นคือสิ่งที่ย้อนกลับไปถึงฉบับปี 1978 อย่างชัดเจน เพราะฉะนั้น การเริ่มต้นจักรวาล DCU ของเรา การเริ่มเล่าเรื่องราวขนาดใหญ่ที่เรากำลังจะสร้างขึ้น ด้วยซูเปอร์ฮีโร่ดั้งเดิมที่สุด มันจึงดูเป็นก้าวเริ่มต้นที่เหมาะสมที่สุด หนังเรื่องนี้พูดถึงความรัก ความเมตตา และความดีงามที่อยู่ในแก่นแท้ของจิตวิญญาณมนุษย์ ซึ่งผมคิดว่านี่คือคุณสมบัติที่โลกเราต้องการในเวลานี้มากกว่าที่เคยเป็นมา ในโลกที่เต็มไปด้วยความแตกแยก หนังเรื่องนี้คือหนังสำหรับทุกคน เป็นหนังที่พาเราทุกคนกลับมารวมกัน ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ ด้วยมุมมองที่มองเห็นความดีในผู้อื่นที่อยู่รอบตัวเรา
คุณเลือกเดวิด โคเรนส์เวตมารับบทเป็นซูเปอร์แมนและคลาร์ก เคนต์ อะไรที่ทำให้เขาเหมาะกับบทนี้?
ดูเขาสิ! [หัวเราะ] หมายถึง…เขาดูเหมือนซูเปอร์แมนเลยจริงๆ เขาสูง 6 ฟุต 4 นิ้ว มีผมสีเข้มที่ดูดี มีตาสีฟ้า และเขาก็อเมริกันสุดๆ เขาอาศัยอยู่นอกเมืองฟิลาเดลเฟีย แต่งงานกับผู้หญิงที่เขารู้จักมาตั้งแต่มัธยม เขาเป็นภาพของ อเมริกันคลาสสิกแบบที่เราไม่ได้เห็นในซูเปอร์แมนมาสักพักแล้ว แต่สิ่งที่เขานำมาให้กับบทนี้จริงๆ คือความรู้สึกของ ความดี เขาเป็นคนรักครอบครัว เป็นคนใจดี ดูแลทั้งนักแสดงและทีมงาน เขามีคุณสมบัติแห่งความดีงามทั้งหมดที่คุณอยากให้คลาร์ก เคนต์และซูเปอร์แมนมี และรู้ไหม ตอนเราเริ่มดูเทปออดิชัน วันแรกหรือไม่ก็สัปดาห์แรกที่เราเริ่มเปิดรับเลย เราเห็นเทปของเขาแล้วก็แบบ “โอเค เราทำหนังเรื่องนี้ได้แล้ว นี่แหละคนที่ใช่” และตอนที่เขาเข้ามาทดสอบหน้ากล้อง มันไม่มีข้อสงสัยใดๆ อีกเลย เขามีเสน่ห์เหลือเชื่อ เขาเป็นนักแสดงที่จบจากจูเลียร์ด เหมือนกับคริสโตเฟอร์ รีฟ ซึ่งตอนนั้นก็อายุพอๆ กัน และก็จบจากจูเลียร์ดเหมือนกัน เขานำเอาความทุ่มเท ความเป็นมืออาชีพ และทักษะโดยธรรมชาติมาให้กับบทบาทนี้ ซึ่งทำให้เขาเป็นคนพิเศษจริงๆ ผมอดใจรอไม่ไหวแล้วที่ผู้ชมจะได้รู้จักเดวิด เขาคือดาราหนังสไตล์คลาสสิกแบบที่หาได้ยากในยุคนี้ และเขาคือหนึ่งในนั้นจริงๆ
เรเชล บรอสนาฮาน ถ่ายทอดอะไรสู่บทบาทของลูอิส เลนบ้าง?
เรเชลกับเดวิดมีเคมีที่ยอดเยี่ยมร่วมกันมาก ตอนที่เราทดสอบนักแสดงสำหรับบทคลาร์ก เคนต์และลูอิส เลน เรามีนักแสดงที่เป็นไปได้ 3 คนในแต่ละบท แล้วเราก็ลองจับคู่ผสมกันหลายแบบตลอดทั้งวัน และเมื่อเรเชลกับเดวิดได้ลองเข้าฉากด้วยกันมันก็มีพลังทันที มีนักแสดงคนอื่นที่เก่ง ถ่ายทอดสู่ตัวละครได้ดีเช่นกัน แต่เมื่อสองคนนี้เล่นด้วยกัน พวกเขายกระดับให้ดียิ่งขึ้น เรเชลมีเสน่ห์ดึงดูด เป็นคนที่เปล่งประกาย มีความฉลาด เธอเคยแสดงให้เห็นมาแล้วในบทมิสซิส ไมเซลได้อย่างงดงาม เธอฉลาด และในบทลูอิสเธอเป็นคู่ที่เท่าเทียมกับซูเปอร์แมนในทุกด้าน ซึ่งคนดูจะค่อยๆ สัมผัสได้ตลอดทั้งเรื่อง คุณจะไม่รู้สึกว่าเป็นแค่ซูเปอร์ฮีโร่มาปกป้องมนุษย์ แต่รู้สึกว่าทั้งคู่เป็นคู่หูที่แท้จริง เธอสู้กลับได้พอๆ กัน คุณจะเข้าใจทันทีว่าทำไมสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุดบนโลกถึงหลงใหลในผู้หญิงคนนี้ เธอเป็นคนที่มั่นใจ แข็งแกร่ง และพวกเขาเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม ต่างฝ่ายต่างก็มีบางอย่างที่อีกคนอาจไม่มี
เล่าให้ฟังหน่อยเกี่ยวกับการคัดเลือกนิโคลัส ฮอลท์ มารับบทตัวร้ายสุดคลาสสิกของซูเปอร์แมนอย่างเล็กซ์ ลูเธอร์?
ทีมนักแสดงทั้งหมดน่าทึ่งมาก แต่เรเชล, เดวิด และนิค โฮลท์ในบทเล็กซ์ ลูเธอร์? ทั้งสามคนนี้เข้ากันได้อย่างเหลือเชื่อ ผมคิดว่านิคสร้างตัวตนของเล็กซ์ ลูเธอร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นมาเลยทีเดียว แม้ว่าผมจะชื่นชอบเวอร์ชันอื่นๆ ด้วย อย่างจีน แฮ็กแมนที่ยอดเยี่ยม หรือไมเคิล โรเซนบาวน์จาก Smallville ที่ก็สุดยอด แต่เราไม่เคยเห็นการแสดงที่สมบูรณ์แบบเท่านี้มาก่อน สำหรับผมนิคในบทเล็กซ์ ลูเธอร์มีความคล้ายแจ็ค นิโคลสันใน A Few Good Men คือเขาเชื่อมั่นจริงๆ ว่าสิ่งที่เขาทำเป็นเรื่องที่ดีต่อสาธารณชน เขาไม่ได้เป็นแค่คนที่มีแผนเพื่อหาเงินหรือแสวงหาอำนาจส่วนตัวเท่านั้น แต่ในมุมมองของเขาคือกำลังกอบกู้มนุษยชาติ แม้ว่าวิธีการที่เขาเลือกอาจจะดูผิดไปบ้าง คุณจะได้ดูหนังแล้วเกิดความรู้สึกว่าบางทีเขาอาจจะพูดถูกก็ได้ นิคถ่ายทอดเล็กซ์ ลูเธอร์ออกมาได้อย่างมีมิติ เป็นตัวร้ายที่ยิ่งใหญ่ และนิคก็ทำให้เขามีความลึกซึ้ง มีชั้นเชิง เป็นทั้งตัวละครที่ยอดเยี่ยม และการแสดงที่วิเศษมาก
เจมส์ได้ดึงเหล่าฮีโร่อื่นๆ เข้ามาร่วมด้วย เล่าให้ฟังหน่อยเกี่ยวกับทีม Justice Gang ชื่อที่ลงตัวแน่นอน!
Justice Gang เป็นการรวมตัวที่ลงตัวมาก นาธาน ฟิลเลียนเคยร่วมงานกับเจมส์และผมมาหลายครั้งตลอด 20 ปีที่ผ่านมา และเขาก็นำสิ่งพิเศษมาทุกครั้ง สำหรับนาธานในบทกาย การ์ดเนอร์คือสมบูรณ์แบบสุดๆ ผมว่าจริงๆ แล้วเจมส์เลือกเขามาเล่นเพื่อจะได้ทำให้เขาดูตลกกับทรงผมทรงหม้อคว่ำอันนั้นด้วยซ้ำ [หัวเราะ] ซึ่งก็มีโอกาสสูงเลยว่านั่นเป็นเหตุผลจริงๆ เอดี กาเธกีในบทมิสเตอร์เทอร์ริฟฟิก โดดเด่นมากสำหรับพวกเรา เขาเป็นตัวละครที่ยอดเยี่ยม แม้อาจไม่เป็นที่รู้จักมากนักใน DCU ยกเว้นหมู่แฟนพันธุ์แท้ของ DC แต่เขาเป็นตัวละครที่น่าทึ่งมาก และผมเชื่อว่าเขาจะมีบทบาทสำคัญในอนาคตของ DCU ส่วนอิซาเบลา เธอนำพลังบางอย่างที่พิเศษมากมาสู่ตัวละครฮอว์กเกิร์ล ฮอว์กเกิร์ลเป็นตัวละครที่ดีและค่อนข้างเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว แต่สิ่งที่อิซาเบลาทำคือการเติมบุคลิกเฉพาะตัวลงไป จนคนดูจะต้องตกหลุมรักเธอแน่นอน
คุณช่วยเล่าเกี่ยวกับเมตามอร์ฟอหน่อยได้บ้างไหม โดยไม่สปอยล์มากเกินไป?
แอนโธนี คาร์ริแกนรับบทเป็นเมตามอร์ฟอ ตัวละครที่คล้ายกับมิสเตอร์ เทอร์ริฟิคตรงที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ความสามารถของเขาถูกนำมาใช้ในหนังอย่างเป็นธรรมชาติ ตัวละครมีมิติลึกซึ้งมากจนผมคิดว่าผู้ชมจะต้องหลงรักตัวละครนี้แน่นอน ผมคิดว่าเขาจะกลายเป็นขวัญใจแฟนๆ อย่างแท้จริง
สิ่งที่ขาดไม่ได้ในหนัง Superman ทุกเรื่องก็คือที่ทำงานของคลาร์ก เคนท์คือเดลี่ แพลเน็ท และอีกหนึ่งตัวละครขวัญใจแห่งเมืองเมโทรโพลิสอย่างจิมมี่ โอลเซน
จิมมี่ โอลเซนเป็นตัวละครคลาสสิกจากจักรวาล Superman เขาสำคัญไม่แพ้ลูอิส เลนและเล็กซ์ ลูเธอร์ สกายเลอร์ ไกซอนโดถ่ายทอดบทนี้ได้อย่างมั่นใจเกินกว่าที่รูปลักษณ์ภายนอกจะบอก ภายนอกเขาดูเป็นเด็กหนุ่มที่เหมาะกับบท แต่ถ่ายทอดความมั่นใจแบบผู้ชายที่ดูแข็งแกร่งและน่าเกรงขามได้อย่างน่าประทับใจ ทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมผู้หญิงหลายคนในเรื่องถึงตกหลุมรักจิมมี่ เขาเป็นคนฉลาด สดใส พูดจาชัดเจน และมีเสน่ห์ที่เปล่งประกายออกมาจากหน้าจออย่างเห็นได้ชัด
ทำไมคุณถึงตัดสินใจเริ่มถ่ายทำไกลถึงสฟาลบาร์ ประเทศนอร์เวย์?
หนึ่งในสิ่งที่เจมส์ กันน์ยืนยันอย่างแน่วแน่ตั้งแต่แรกก็คือ การถ่ายทำฉากป้อมปราการแห่งความสันโดษต้องทำในสถานที่จริง บนพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมแบบอาร์กติก เขาต้องการให้พวกเราและผู้ชมรู้สึกได้ถึงความสมจริงของหิมะและความหนาวเย็น เพราะนี่คือฉากเปิดของภาพยนตร์ เป็นฉากแรกที่ใครก็ตามจะได้เห็นในจักรวาล DCU ใหม่ และยังเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เราสร้างขึ้นเพื่อฉายในโรงภาพยนตร์ เจมส์จึงต้องการให้การเริ่มต้นนี้งดงามและน่าตื่นตะลึงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และสฟาลบาร์ก็เป็นสถานที่น่าตื่นตะลึงได้อย่างแท้จริง มันช่างมหัศจรรย์อย่างกับเทพนิยายเลย
ทำไมคุณถึงเลือกย้ายกองถ่ายไปที่เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ?
อย่างแรกเลยคือเมืองคลีฟแลนด์เป็นสถานที่ที่ซูเปอร์แมนถือกำเนิดขึ้นจริง ๆ เจอร์รี ซีเกลเป็นชาวคลีฟแลนด์ และเขาก็เรียนหนังสืออยู่ที่นั่นกับโจ ชูสเตอร์ด้วย ดังนั้นแค่ความคิดที่ว่าเรากำลังถ่ายทำภาพยนตร์ในเมืองที่ตัวละครนี้เกิดขึ้น มันก็มีความรู้สึกงดงามและมีความหมายในเชิงบทกวีอยู่แล้ว ข้อที่ 2 คือเมืองคลีฟแลนด์ยังคงมีอาคารจากยุคสมัยหนึ่งที่เรารู้สึกเชื่อมโยงด้วย อาคารเหล่านั้นแทบไม่เปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตเลย รูปลักษณ์ของหนังที่เราต้องการที่เบธ มิคเคิล ผู้ออกแบบฉากและเจมส์ กันน์ร่วมกันคิดขึ้น สิ่งเหล่านั้นล้วนมีอยู่ในคลีฟแลนด์ตามธรรมชาติ และมันก็รู้สึกว่าเหมาะสมกับเรามาก และเหตุผลที่ 3 คือ เมืองคลีฟแลนด์ตั้งตารอที่จะต้อนรับพวกเราอย่างใจจดใจจ่อ พวกเขาดีใจมากที่เราจะไปถ่ายทำที่นั่น และคุณก็ย่อมอยากอยู่ในที่ที่มีคนต้องการคุณ ในช่วงเวลาที่เราถ่ายทำอยู่ที่นั่น คนในพื้นที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นและเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่เรากำลังสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับฮีโร่ประจำบ้านเกิดของพวกเขา ดังนั้น มันจึงเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ ที่ได้ไปถ่ายทำที่นั่น และไม่ไกลจากคลีฟแลนด์ก็คือเมืองซินซินแนติ ซึ่งมีสถานที่สวยงามอย่างยิ่งที่เราใช้ถ่ายทำเป็นหอเกียรติยศแห่งความยุติธรรม มันสวยงามมากจริงๆ
ผู้ชมจะได้เห็นอะไรในตัวซูเปอร์แมนเวอร์ชันนี้ที่อาจไม่เคยเห็นมาก่อน ในแง่ของตัวละคร?
ผมคิดว่าในภาพยนตร์เรื่องนี้ซูเปอร์แมนต้องเผชิญกับหนึ่งในบททดสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาจนถึงตอนนี้ ความเชื่อหลักของเขาสั่นคลอน เขาถูกบังคับให้หันกลับมามองลึกเข้าไปข้างในตัวเอง เพื่อค้นหาว่าเขาเป็นใคร และควรจะเป็นอะไร แทนที่จะมองตัวเองจากสายตาของคนอื่นเพียงอย่างเดียว เขาต้องเจาะลงไปในตัวตนของตัวเองและตัดสินใจว่าเขาอยากจะเป็นใครกันแน่
ทำไมคุณคิดว่าตัวละครนี้ยังคงมีความหมายและเชื่อมโยงกับผู้ชมในหลายๆ ด้าน?
หนังสือการ์ตูนมีความนิยมมานานกว่า 90 ปี และมีเหตุผลที่ทำให้มันยังคงเข้าถึงใจคนได้หลายรุ่นต่อหลายรุ่น เพราะมันสะท้อนทั้งความกลัวและความหวังของแต่ละยุคสมัย ผมคิดว่าตอนนี้สิ่งที่ผู้คนจะได้รับจากหนัง Superman ของเราคือสิ่งที่พวกเขาต้องการ และที่เราทุกคนต้องการคือแนวคิดเกี่ยวกับวิธีการเยียวยาความแตกแยก วิธีการที่จะนำผู้คนกลับมารวมกันอีกครั้งในแบบที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองเลย ผมคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะสำหรับทุกคน เพราะมันสอนให้เราเข้าใจว่า บางทีเราอาจต้องลองเดินในรองเท้าของคนอื่นบ้าง เพื่อที่จะเข้าใจมุมมองของพวกเขา และความจริงที่ว่าซูเปอร์แมนสามารถอยู่รอดในโลกนี้ได้พร้อมกับมองเห็นสิ่งดีในตัวผู้คน อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้เราหลายคนพยายามมองหาความดีในผู้อื่นด้วย
ร่วมพูดคุยกับทีมนักแสดงในเรื่อง SUPERMAN
เดวิด โคเรนสเวต
– ซูเปอร์แมน / คลาร์ก เคนท์ –
ก่อนที่จะรับบทเป็นตัวละครนี้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ซูเปอร์แมนสำหรับคุณคือใคร?
อาจฟังดูแปลกสักหน่อย แต่สิ่งที่ตัวละครนี้หมายถึงสำหรับผมก็คือสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขที่สุด: เวลาที่คนแปลกหน้าหรือเพื่อน ๆ เรียกผมแบบนั้น ผมไม่ได้เติบโตมากับการดูหนังของดอนเนอร์ (Donner) หรือหนังของคริส รีฟ ผมรู้ว่าใครคือคริสโตเฟอร์ รีฟ และรู้ว่าเขาเล่นบทซูเปอร์แมน แต่ผมไม่ได้เติบโตมากับการดูหนังนั้น ผมไม่ได้โตมากับการอ่านหนังสือการ์ตูน ผมรู้ว่าตัวละครซูเปอร์แมนคือใคร แต่ไม่เคยรู้สึกผูกพันด้วยเป็นพิเศษ ดังนั้นผมคิดว่าการเชื่อมโยงครั้งแรกของผมกับตัวละครนี้คือเวลาที่มีคนบอกว่าผมเหมือนเขา ผมมีเรื่องแปลก ๆ เรื่องหนึ่ง คือตอนผมเรียนมหาวิทยาลัย ผมอยู่กับเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมชั้นสองคน แล้วเสียงสัญญาณเตือนไฟไหม้ดังขึ้น ผมวิ่งออกจากห้องไปหยิบเก้าอี้มา ยืนบนเก้าอี้ไปปิดสัญญาณเตือนไฟไหม้นั้น หนึ่งในเพื่อนร่วมห้องบอกผมว่า คุณนี่แหละคือซูเปอร์แมนจริงๆ ที่มาช่วยไว้ทันเวลา ผมคิดว่าคนทุกคนโชคดีที่ได้เป็นคนที่ผู้อื่นรู้สึกว่าสามารถอยู่ตรงนั้นได้ในเวลาที่จำเป็น รักษาความใจเย็นและมองโลกในแง่ดีในสถานการณ์ลำบาก ไม่ใช่ว่าผมเคยรู้สึกหรือคิดว่าผมเหมือนซูเปอร์แมน แต่ผมชอบเวลาที่ผมสามารถทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้คนอื่นรู้สึกแบบนั้น ตัวละครนี้สำหรับผมยิ่งใหญ่กว่าการตีความบทบาทใดบทบาทหนึ่ง มันคือความรู้สึกเหมือนมีใครสักคนคอยดูแลคุณ และมีใครสักคนที่รู้ว่าต้องทำอย่างไร หรือถ้าไม่รู้ก็ยังสามารถไม่รู้พร้อมรอยยิ้ม และไม่ตื่นตระหนก นั่นแหละคือหัวใจสำคัญของการเป็นซูเปอร์แมน
หนัง Superman เวอร์ชันของเจมส์ กันน์ เล่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร?
สิ่งที่น่าสนใจตั้งแต่แรกเลยคือ ในหนังเรื่องนี้เราไม่ได้เห็นเรื่องราวต้นกำเนิดของซูเปอร์แมน ซึ่งผมคิดว่านั่นเป็นการผสมผสาน โดยไม่พูดแทนเจมส์ ถึงการยอมรับว่าเรื่องราวต้นกำเนิดนั้นถูกเล่าออกมาได้ดีแล้วในหลาย ๆ รูปแบบ และเข้าใจว่าผู้คนรู้พื้นฐานสำคัญของต้นกำเนิดซูเปอร์แมนอยู่แล้ว
นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับความรักของเขาต่อหนังสือการ์ตูนโดยเฉพาะ ข้อดีอย่างหนึ่งของหนังสือการ์ตูนคือแต่ละเวอร์ชันใหม่ๆ จะเริ่มต้นในจุดที่แตกต่างกัน ไปหยิบเอาบางอย่างที่เป็นเรื่องปกติ ไม่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย และสมมติว่าผู้ชมจะเขียนประวัติศาสตร์ของเวอร์ชันนั้น ๆ ขึ้นมาใหม่ในใจของตัวเอง ซึ่งทำให้คุณได้พบกับตัวละครเหล่านี้ในช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ในช่วงสำคัญและพื้นฐานที่สุดของชีวิตพวกเขา แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนเป็นการเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งใหม่และจักรวาลใหม่ทั้งใบ สำหรับ ซูเปอร์แมนนั่นหมายความว่าเขาอาศัยอยู่ในเมือง Metropolis แล้ว เขาเป็นฮีโร่ที่ได้รับการยอมรับแล้ว ผู้คนรู้ว่าเขาคือใคร และในฐานะคลาร์ก เคนท์ เขาทำงานให้กับหนังสือพิมพ์ Daily Planet เขาอยู่ในช่วงเริ่มต้นของอาชีพนักข่าว ผมคิดว่าเราจะได้พบเขาในวันแรกที่เขาได้เขียนบทความหน้าหนึ่งชิ้นแรกของเขา ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับส่วนของตัวละครคลาร์ก
ส่วนซูเปอร์แมน เราจะได้พบเขาในวันที่เขาโดนทำร้ายอย่างหนัก ซึ่งเป็นเหมือนการปลุกให้เขาตื่นตัวขึ้น และหนังยังเปิดโอกาสให้เราได้พบกับเพื่อนร่วมทางที่ไม่ค่อยน่าไว้ใจนักอย่างคริปโตด้วย แต่การเริ่มเรื่องตรงกลางแบบนี้ทำให้คุณสามารถดำดิ่งเข้าไปในเรื่องราวและค่อยๆ เก็บชิ้นส่วนที่หลุดหายไปเรื่อยๆ นี่คือวิธีดูหนังในแบบผม
ทั้งซูเปอร์แมนและคลาร์กกำลังจัดการหลายเรื่องในช่วงต้นของภาพยนตร์ ใช่ไหม?
ซูเปอร์แมนตอนนี้เป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับแล้ว ผมคิดว่าเขากำลังขยายบทบาทไปในระดับนานาชาติ ก่อนหน้านี้เขายังทำงานในระดับท้องถิ่นอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อไม่นานมานี้เขาได้เข้าไปแทรกแซงในความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในต่างประเทศ และก็ได้รับเสียงวิจารณ์หนักในสื่อ
แน่นอนว่าเดลี่ แพลเน็ทได้เขียนบทความชื่นชมเขา โดยฝีมือของคลาร์ก เคนต์ แต่ลูอิส เลนที่ตอนนี้ทั้งคู่กำลังคบหากัน ซึ่งถือว่ายังเป็นเรื่องใหม่ กลับตั้งคำถามกับการกระทำของเขามากกว่า และสงสัยในแรงจูงใจของเขาเล็กน้อย ดังนั้นซูเปอร์แมนก็ถือว่าเป็นที่ยอมรับในบทบาทของเขา และกำลังขยายพื้นที่การทำความดีไปทั่วโลก แต่ในขณะเดียวกันที่บ้าน โลอิสก็เรียกให้เขาตั้งคำถามกับตัวเองและคิดให้รอบคอบมากขึ้นเกี่ยวกับบางเรื่อง ส่วนในเวทีโลก เล็กซ์ ลูเทอร์ ไม่ชอบแนวคิดที่ซูเปอร์แมนจะมาเป็นผู้ควบคุมหรือมีบทบาทในเรื่องราวของโลกใบนี้
เล่าถึงการทำงานร่วมกับผู้กำกับฯ มากความสามารถอย่างเจมส์ กันน์หน่อย
ผมประหลาดใจมากกับความสนุกที่เจมส์ดูจะมีในทุกบทบาทที่เขาต้องรับผิดชอบ สิ่งที่คุณจะรู้สึกได้จากการดู Guardians of the Galaxy โดยเฉพาะเลยคือ ผู้กำกับคนนี้ไม่ได้แค่ชอบฉากแอ็กชัน แต่ชอบฉากที่มีอะไรเกิดขึ้นเยอะ ๆ ชอบฉากระเบิด ถ้าแค่ระเบิดเพื่อให้มีสีสันบนจอก็ตาม และชอบเอาตัวละครไปอยู่ในสถานการณ์แปลกๆ บ้าๆ ที่พวกเขาต้องหาทางเอาตัวรอด แต่สิ่งที่ผมไม่รู้เลยจนกระทั่งได้เจอเขาตัวจริงครั้งแรกตอนสกรีนเทสต์คือเขาชอบฉากสนทนา ผมมาจากสายละครเวที ผมชอบคุยเรื่องบท เรื่องความหมายของแต่ละคำ เครื่องหมายวรรคตอนแต่ละตัว ซึ่งบางครั้งก็ทำให้คนรำคาญได้ ผมไม่คิดว่าจะทำให้ราเชล (บรอสนาฮาน) รำคาญนะ เพราะเธอมีประสบการณ์แบบนี้เยอะ และผมก็รู้ว่าเราน่าจะเข้าขากันได้ในเรื่องนี้ แต่ผมเคยกังวลว่าเจมส์จะเป็นแบบ “ผมไม่สนเครื่องหมายนั้นหรอก” หรือ “ไม่สนใจหรอกว่าคำนี้หมายถึงอะไร” อะไรแบบนั้น…แต่กลายเป็นว่าเขาพร้อมคุยกับคุณจนสุดทาง ไม่ว่าผลจะออกมาเป็น เขาโน้มน้าวคุณได้ หรือคุณโน้มน้าวเขาได้ หรือคุณสองคนตระหนักได้ว่าคุยผิดประเด็นมาตั้งแต่ต้น แล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องจริงที่ควรคุยกัน หรือไม่ก็เหนื่อยกันทั้งคู่แล้วสรุปว่า “ถ่ายเลยแล้วกัน เดี๋ยวค่อยดูว่าออกมายังไง”
การที่มีผู้กำกับที่ขึ้นชื่อเรื่องภาพและความรู้สึก แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับบทสนทนาที่ซับซ้อนมากๆ กับการถกเถียงในเชิงลึก เช่น ว่าอำนาจหมายถึงอะไรเมื่อคุณกำลังคุยกับคนที่คุณรัก มันไม่มีเรื่องไหนเลยที่เขาไม่สนใจ ไม่มีอะไรที่เขาไม่พร้อมจะพูดถึง เราถ่ายฉากแบบนั้นอยู่สองวันเต็ม ๆ จากนั้นสองวันถัดมาเราก็ถ่ายฉากสตันต์ล้วนๆ ถูกเหวี่ยงข้ามห้อง หมุนตัวกลางอากาศ โดนตีหัว ทุกอย่างเป็นเทคนิค เป็นงานสตันต์ทั้งสิ้น แล้วในวันศุกร์ของสัปดาห์แรก เราถ่ายฉากที่ผสมผสานทั้งสองแบบเข้าด้วยกัน มันเป็นสัปดาห์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตผมเลยก็ว่าได้ เพราะเราได้สัมผัสประสบการณ์ครบทุกมิติของการแสดง และเจมส์เองก็สนุกกับมันตลอด เขารู้จริงในสิ่งที่ทำ และยังอยากเรียนรู้มากขึ้นอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่าบท Superman ต้องใช้ร่างกายเยอะมาก — คุณเริ่มเตรียมตัวสำหรับบทนี้ยังไงในช่วงแรก?
จริง ๆ แล้ว ในช่วงแรกสิ่งเดียวที่ผมทำได้คือ… ไปยิม เพราะช่วงนั้นนักแสดงทั่วทั้งวงการอยู่ในช่วงการนัดหยุดงานซึ่งหมายความว่า ผมยังไม่สามารถพูดคุยอะไรกับเจมส์หรือปีเตอร์ แผนกคอสตูม หรือใครได้เลย พวกเรายังไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำว่าเจมส์อยากให้ผมมีรูปร่างแบบไหน ผมรู้แค่ว่าสุดท้ายแล้วผมน่าจะต้องฝึกคิวบู๊ ฝึกสตันต์ ฝึกการต่อสู้ต่างๆ แต่สิ่งเดียวที่เจมส์บอกผมไว้ตอนโทรมาบอกว่าผมได้รับบทนี้แล้วก็คือ “เดวิด คุณดูดีนะ แต่ผมอยากให้มีเทรนเนอร์ส่วนตัว และอยากให้นายทำงานกับไหล่กับความเปราะบางของคุณ” ซึ่งผมว่าประโยคนั้นเจ๋งดีมาก พอมีการนัดหยุดงาน ผมก็พร้อมแล้วที่จะเริ่มไปยิม ผมเลยตัดสินใจว่า จะทำร่างกายให้ใหญ่ขึ้นเท่าที่ทำได้ โดยอยู่ในขอบเขตที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ นี่คือสิ่งที่ผมอยากทำมานานแล้ว: การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ผมเป็นคนตัวผอมมาตลอดชีวิต แบบเดียวกับที่คริสโตเฟอร์ รีฟ เคยพูดถึงตัวเองว่าเหมือนต้นถั่ว ดังนั้นผมเลยตื่นเต้นมากที่มีเหตุผลจริงจังให้ต้องเพิ่มน้ำหนักและดูว่ามันให้ความรู้สึกยังไง
การฝึกส่วนใหญ่ของผมคือการเพิ่มน้ำหนักตัว กินเยอะมาก แล้วยกเวทหนักๆ เท่าที่จะทำได้ ดังนั้น สิ่งที่ผมทำส่วนใหญ่ก็มีแค่ คิดว่าจะกินอะไร กินมัน ย่อยมัน ไปยิม ยกเวทวันละประมาณสองชั่วโมงครึ่ง กลับบ้าน นอน แล้วก็ทำแบบนี้ซ้ำๆ มันเป็นระดับของความเข้มข้นที่ผมไม่เคยผลักดันตัวเองถึงจุดนั้นมาก่อนเลยจริงๆ
ซูเปอร์แมนบินได้และต้องต่อสู้ การเตรียมตัวสำหรับสิ่งเหล่านั้นเป็นยังไงสำหรับคุณ?
พอถึงเวลาที่การถ่ายทำเริ่มขึ้นจริงๆ การฝึกฝนของผมก็กลายมาเป็นการฝึกการแสดงบนลวดสลิงเป็นหลัก — สำหรับฉากบิน ฉากต่อสู้กลางอากาศ และฉากแอ็กชันต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อนเลย ผมไม่เคยแม้แต่ขึ้นสลิงมาก่อน อาจเคยปีนหน้าผาอยู่ครั้งหนึ่งตอนเด็กๆ และโชคดีที่ผมไม่กลัวความสูง แต่ปรากฏว่ามัน สนุกมากจริง ๆ และพวกเราก็มีทีมสตันต์ที่ยอดเยี่ยมแบบเกินจริงไปเลย ทีมที่ดูแลเรื่องสลิง, โค้ชคิวบู๊, และนักแสดงสตันต์คือมืออาชีพสุด ๆ พวกเขาทำอะไรที่น่าทึ่งมากและยังเป็นครูที่เก่งอีกด้วย ผมได้เรียนรู้เทคนิคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ศิลปะของการใช้สลิง ตลอดช่วงพรีโปรดักชัน เพื่อทำให้ผมคุ้นเคยกับมัน แล้วก็เริ่มฝึกท่าทางเฉพาะที่เราคิดหรือรู้ว่าจะมีอยู่ในหนัง นอกจากนี้ก็มีการฝึกต่อสู้อยู่บ้าง แต่สิ่งที่เจ๋งเกี่ยวกับซูเปอร์แมนคือ เขาไม่ใช่นักศิลปะการต่อสู้ เหมือนฮีโร่หลายๆ คน ดังนั้น สไตล์การต่อสู้ของเขาจึงไม่ได้เนียนหรือซับซ้อนอะไร พูดง่าย ๆ คือคุณไม่จำเป็นต้องฝึกหนักเท่าคนอื่น เพราะถ้าคุณชกมั่วๆ ไปสักหมัด มันก็ยังดูเวิร์กอยู่ดี เพราะซูเปอร์แมนใช้พลังดิบเป็นหลัก และเขาอาศัยความเร็วหรือความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าคู่ต่อสู้อยู่แล้ว การเตรียมตัวของผมเต็มไปด้วยความสนุก ความท้าทายใหม่ๆ และการเรียนรู้ที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งในเชิงเทคนิคและในเชิงร่างกาย
เจมส์เคยเปรียบการถ่ายทอดฉากบินในหนังเรื่องนี้กับการทำงานของเครื่องบินรบ — คุณได้คุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องนั้นไหม?
ในแง่ของการทำให้ฉากบินดูมีความสมจริงในระดับหนึ่ง หรืออย่างน้อยก็อยู่ในขอบเขตของกฎฟิสิกส์ในแบบที่เรารับรู้โดยสัญชาตญาณ เราอ้างอิงถึงเครื่องบินรบบ่อยมาก โดยเฉพาะ F-22 ซึ่งมีความสามารถในการเคลื่อนไหวที่เหลือเชื่อ และดูเหมือนจะสามารถหยุดกลางอากาศได้ทันทีแบบที่ดูจะขัดกับหลักฟิสิกส์เลยด้วยซ้ำ มันคือการควบคุมทิศทางแรงขับ ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจพื้นฐานสำหรับภาพลักษณ์ และความรู้สึกของการบินในหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะเรื่องความเข้มข้นของการบินที่ควรจะรู้สึกว่าเร็วมาก แต่ไม่เร็วเกินไปจนดูไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น คล้ายกับตอนที่เห็น F-22 บินผ่าน หรือดูวิดีโอของมันคุณรู้สึกถึงความเร็วอย่างชัดเจน แต่ยังพอจับภาพและเคลื่อนไหวของมันได้
ฟังดูเหมือนว่า “การบินมันเป็นยังไง” จะทำให้คุณตอบแบบเน้นเรื่องปฏิบัติมากกว่าจะเป็นอะไรที่ลึกซึ้งใช่ไหม?
[หัวเราะ] ก็แนวคิดของมันก็อีกอย่างหนึ่ง แต่ในความเป็นจริง เราต้องบินด้วยอุปกรณ์แทบทุกชนิดเลยนะ บางครั้งผมก็บินในขณะที่ยืนอยู่กับพื้น เพราะบางทีมันก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ส่วนอันที่สนุกที่สุดคืออันที่เรียกว่า “ส้อมเสียง” ซึ่งมันเป็นแท่งโลหะขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 20-25 ฟุตได้ มันถูกติดสายเคเบิลไว้กับเพดานตรงกลาง มีตุ้มน้ำหนักอยู่ด้านหลัง แล้วที่ด้านหน้าจะมีลักษณะคล้ายส้อม ซึ่งผมจะเข้าไปอยู่ตรงกลางแล้วก็ถูกล่ามไว้ทั้งสองด้านของสะโพก เพื่อให้สามารถหมุนไปข้างหน้าหรือข้างหลังได้ และเขาก็สามารถหมุนตัวผมได้ เอียงซ้ายขวาได้ แล้วเราก็สามารถเคลื่อนไหวไปมาได้ตามสายเคเบิลที่เชื่อมกับคานบนของเวทีถ่ายทำ มันช่วยให้เราทำท่าบินแบบคลาสสิกที่ตัวลอยขนานไปกับพื้นได้ เอียงซ้ายขวาได้นิดหน่อย ขึ้นลงได้ระดับหนึ่ง แล้วก็ทำท่าขึ้นบินกับลงจอดแบบเท่ๆ ได้ด้วย เราไม่ได้ถ่ายฉากขึ้นบินแบบนี้เยอะนัก เพราะการขึ้นมันเร็วเกินไป แต่เราทำฉากเจ๋งๆ ที่มีการม้วนตัวกลางอากาศสองสามรอบ แล้วก็เหินขึ้นแล้วโฉบลงมาอีกที ด้วยอุปกรณ์นี้เราสามารถเชื่อมต่อท่าบินหลากหลายแบบไว้ในช็อตเดียวได้เลย โดยไม่ต้องตัดเยอะหรือเปลี่ยนไปใช้พวกตัวแสดงดิจิทัลที่สามารถทำอะไรก็ได้
รู้สึกยังไงบ้างตอนใส่ชุดซูเปอร์แมนอันเป็นเอกลักษณ์ครั้งแรก?
คุณอยากได้คำตอบแบบน่าผิดหวังไหมล่ะ? ก็รู้สึกไม่ว้าวเท่าไหร่น่ะสิ รู้ไหมทำไม? เพราะครั้งแรกที่ใส่ชุดแบบนี้ มันยังมาเป็นสองชิ้นอยู่เลย แล้วตัวอักษร S ก็ยังไม่ได้เย็บเข้าที่ดีนัก ผ้าคลุมก็ยังไม่ใช่ของจริง ทุกอย่างยังไม่สมบูรณ์เลย ชุดพวกนี้ต้องใช้การออกแบบ ตัดเย็บ ปรับใหม่ ทดลองใส่ แล้วก็ต้องปรับอีกทีเมื่อเราเริ่มรู้ว่าต้องเคลื่อนไหวยังไงบ้างในชุด หรือเนื้อผ้ามันจะยืดตัวยังไงเมื่อใช้งานไปนานๆ ผมไม่ได้แกล้งทำเป็นรู้เรื่องนะ ถึงแม้ผมจะพยายามตั้งใจตอนลองชุด แต่ต้องยกเครดิตให้ทีมคอสตูมเลย พวกเขาทำงานออกแบบชุดนี้ขึ้นมาใหม่ทั้งหมดได้อย่างเหลือเชื่อจริงๆ
พอถึงตอนจบ ผมว่าเรื่องนี้มีอยู่สามอย่าง อย่างแรกคือ ผมเริ่มชินกับการใส่ชุดแล้ว จนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งแรกที่ใส่ชุดเต็มๆ มันเมื่อไหร่ อย่างที่สองคือ ทุกครั้งที่นักแสดงร่วมเห็นผมในชุดเป็นครั้งแรก มันเจ๋งมากเลยนะ เพราะสำหรับพวกเขานั่นคือครั้งแรกที่เห็นชุดแบบเต็มๆ หรือบางครั้งที่ผมเห็นตัวเองในจอมอนิเตอร์หลังจากถ่ายฉากไป แล้วมีรีเพลย์เล็กๆ ให้ดูตอนอยู่ในชุด ผมก็คิดเลยว่า “เท่ชะมัดเลย” แล้วก็อีกครั้งตอนถ่ายภาพโปรโมต นั่นน่าจะเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่า “มันคือ… ใช่เลย มันเป็นลุคที่ไอคอนิกจริงๆ” พอเห็นภาพเหล่านั้น คุณจะรู้สึกแตกต่างออกไปเลย เหมือนพูดไม่ออก แต่ถึงจะพูดแบบนั้น การใส่ชุดจริงๆ มันไม่ค่อยเท่เท่าไหร่หรอกนะ เพราะความรู้สึกตอนใส่มันไม่ได้เท่เท่าที่เห็นเลยจริงๆ
คุณรับมืออย่างไรกับการเล่นบทบาทสองด้านของซูเปอร์แมนและคลาร์ก เคนท์?
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ซูเปอร์แมนแตกต่างจากฮีโร่คนอื่นๆ อย่างชัดเจนก็คือ เหตุผลที่เขามีตัวตนอีกด้านไม่เหมือนกับฮีโร่คลาสสิกคนอื่นๆ เช่น แบทแมน เป็นต้น เขาอยากให้ตัวตนในฐานะซูเปอร์ฮีโร่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ในเชิงนามธรรม และเขาอยากแยกชีวิตส่วนตัวออกไปต่างหาก เพื่อจะปกป้องคนที่เขารัก เพราะแบทแมนไม่สามารถอยู่ทุกที่พร้อมกันได้เพื่อปกป้องทุกคนที่เขารัก แต่ซูเปอร์แมน เขามีพ่อแม่ ลูอิส จิมมี่ และเพื่อนคนอื่นๆ ซึ่งส่วนมากก็เป็นซูเปอร์ฮีโร่ด้วยกันอยู่แล้ว และดูแลตัวเองได้ระดับหนึ่ง ผมเลยรู้สึกว่าซูเปอร์แมนจริง ๆ แล้วสามารถไม่มีตัวตนแฝงก็ยังได้ แต่เหตุผลที่เจมส์กับผมคุยกันไว้สำหรับเวอร์ชันนี้ของเขาที่มีตัวตนแฝง ก็เพราะความรักที่เขามีต่อมนุษยชาติ และสำหรับเขา คลาร์กไม่ใช่ตัวละครที่เขาสวมบทบาท แต่เป็นตัวตนของเขาในแบบที่เขาเติบโตมา ก่อนที่จะรู้ว่าตัวเองเป็นมนุษย์ต่างดาว เป็นเด็กถูกรับเลี้ยง และเรื่องทั้งหมดนั่น มันคือวิธีที่เขาลงทุนในโครงการมนุษย์ ในขณะที่เขาก็ยังเป็นผู้ปกป้องผู้มีพลังเหนือมนุษย์ไปด้วย เขาไม่อยากจะยืนอยู่นอกเกมของมนุษย์ เขาอยากมีส่วนร่วม อยากสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์จริง ๆ รู้ว่ามันรู้สึกยังไงเวลาไปทำงานทุกวัน โดนล้อบ้าง พลาดกำหนดส่งงานบ้าง อะไรพวกนั้น.
โดยปกติแล้ว พอซูเปอร์แมนมาถึงเมโทรโพลิส ก็แทบจะแยกเขาออกจากลูอิส เลน ไม่ได้เลย แล้วลูอิสในหนังเรื่องนี้เป็นยังไง?
สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับซูเปอร์แมนกับลูอิสก็คือ ผมรู้สึกว่าผู้คนรู้จักพวกเขาแม้จะไม่เคยอ่านหนังสือการ์ตูนหรือดูหนังเลยด้วยซ้ำ ลูอิส เลน แทบจะกลายเป็นคำสำนวนสำหรับนักข่าวหญิงเท่ ๆ ที่ฉลาดและช่างสงสัยไปแล้ว ตัวละครทั้งคู่เหมือนก้าวข้ามกาลเวลาและเวอร์ชันต่าง ๆ ของตัวเองมาได้ ลูอิส เลน ของเราในเรื่องนี้ก็เป็นนักข่าวสายสืบสวนแบบคลาสสิก โดยคำว่า “สืบสวน” คือจุดสำคัญเลย เธอเป็นคนที่ทั้งในชีวิตส่วนตัวและการงาน ชอบขุดคุ้ย ชอบหาความจริง และไม่ยอมปล่อยให้รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ หลุดรอดสายตาไปได้ มันก็เลยสมเหตุสมผลมากที่เธอกลายเป็นนักข่าวที่ได้รับรางวัลมามากมาย แล้วมันก็ดูแปลกๆ นิดหน่อยที่เธอดันไปเริ่มคบกับคลาร์ก เคนท์ หรือก็คือซูเปอร์แมนนั่นแหละ เพราะถ้าจะพูดกันตรงๆ มันก็ดูเป็นการขัดผลประโยชน์อยู่เหมือนกัน ฉากใหญ่ฉากแรกที่เราเห็นทั้งสองคนมีปฏิสัมพันธ์กัน มันทำให้คลาร์กตกใจพอสมควร เพราะเขาคิดว่าพวกเขาน่าจะมองเรื่องการทำความดีเพื่อโลกในมุมเดียวกัน แต่ลูอิสกลับมีมุมมองที่มองโลกในแง่ร้ายกว่าว่าการทำความดีนั้นต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง ผมคิดว่าถึงแม้โลอิสจะมั่นใจในตัวเอง แต่เธอกลับมีอีโก้น้อยกว่าคลาร์กในเรื่องที่ตัวเองทำ เพราะเธอไม่มีพลังวิเศษแบบดั้งเดิม มีแค่พลังแห่งการเป็นนักข่าวสืบสวนเท่านั้น ส่วนคลาร์ก เขามั่นใจมากว่าเขารู้ว่าอะไรคือความดี และเขาสามารถทำมันได้
ราเชล บรอสนาฮานเติมอะไรให้กับบทของลูอิสบ้าง?
อย่างแรกเลยที่เรเชลใส่เข้าไปในตัวละครนี้ก็คือความช่างสงสัย แค่ท่าทางที่เธอชำเลืองดูคุณ หรือเวลาที่เธอหยุดนิ่งแล้วรอฟังคุณพูด มันให้ความรู้สึกเหมือนเธอเปิดโอกาสให้คุณพูดออกมา ไม่ใช่เพื่อจะจับผิดคุณนะ เพราะเรเชลเป็นคนที่น่ารักและให้การสนับสนุนมาก แต่แม้จะเป็นแบบนั้น เธอก็ยังมีท่าทางเอียงคอนิดๆ กับการหรี่ตาแบบเฉียบๆ ที่ทำให้คุณรู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังตั้งใจฟังทุกคำที่คุณพูด ซึ่งมันเยี่ยมมากนะ จนกว่าคุณจะเผลอพูดพลาดนั่นแหละ การที่เราเริ่มถ่ายทำหนังเรื่องนี้ด้วยฉากบทสนทนาหนักๆ 12 หน้ากับเธอ ใช้เวลาสองวันเต็ม ซึ่งก็เป็นฉากเดียวกับที่เราใช้ในรอบทดสอบหน้ากล้อง มันเป็นวิธีเริ่มต้นที่ดีมาก เพราะมันทำให้ชัดเลยว่า หัวใจของหนังเรื่องนี้อยู่ที่ตัวละครและความสัมพันธ์ของพวกเขา ถึงแม้ในเรื่องจะมีฉากแอ็กชันสนุกๆ แต่แก่นแท้ของมันคือผู้คนกับความคิดและอุดมคติ ของพวกเขา
เจมส์เพิ่มเมตาฮิวแมนคนอื่น ๆ เข้าไปในเรื่องด้วย—เล่าให้ฟังหน่อยเกี่ยวกับ Justice Gang…
โอ้ พวกนั้นน่ะเหรอ [หัวเราะ] ใช่เลย Justice Gang พวกเขาใส่ชุดเท่มาก บอกได้แค่นั้นแหละ พูดตามตรงนะ ผมว่าพวกเขายังต้องปรับปรุงกันอีกเยอะเลย ตอนนี้ออกจะวุ่นวายกันนิดหน่อย ผมว่ามิสเตอร์ เทอร์ริฟิคน่ะดูมีสติมากที่สุดแล้ว ส่วนฮอว์คเกิร์ลก็เจ๋งสุดๆ พูดตรงๆ ผมแอบเกรงเธอนิดๆ ด้วย ส่วนกาย การ์ดเนอร์ นิสัยแย่เลยล่ะ แต่ที่แปลกคือตอนเห็นทั้ง 3 รวมกลุ่มกัน ผมนี่สงสัยเลยว่า พวกเขาไปรวมทีมกันได้ยังไง? ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาอยากให้ผมเข้าร่วมด้วยไหม หรืออยากจะทำงานด้วยแค่แบบภารกิจต่อภารกิจ แบบฟรีแลนซ์อะไรทำนองนั้น ผมว่าพวกเขาน่าจะต้องเคลียร์เรื่องของตัวเองให้ลงตัวก่อนนะ
คลาร์ก เคนท์ อาศัยอยู่ในเมโทรโพลิส แต่ที่ของซูเปอร์แมนจริง ๆ อยู่ไกลถึงอีกฟากหนึ่งของโลก เล่าให้ฟังหน่อยเกี่ยวกับป้อมปราการแห่งความโดดเดี่ยวได้ไหม?
ป้อมปราการแห่งความโดดเดี่ยวเป็นเหมือนถ้ำหรือมุมพักผ่อนส่วนตัวของซูเปอร์แมน ผมคิดว่ามันถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าสนใจที่สุดในเรื่อง All-Star Superman ซึ่งผมรู้ว่าเป็นแรงบันดาลใจหลักสำหรับเจมส์ ที่นั่นมันเป็นถ้ำขนาดใหญ่ ไม่ใช่แค่พื้นที่เดียว แต่เป็นเครือข่ายหลายชั้นและไม่มีที่สิ้นสุดของโรงเก็บเครื่องบิน ซูเปอร์แมนมีห้องนอนของเขาอยู่ในนั้น และยังมีที่เก็บซากเรือไททานิก รวมถึงของสะสมอื่นๆ ที่เขารวบรวมไว้ เช่น ปืนยิงรังสีจากนอกโลกและของแปลกต่างๆ ในลักษณะเหมือนพิพิธภัณฑ์ ป้อมปราการแห่งความโดดเดี่ยวของเราในหนังเรื่องนี้เป็นฉากขนาดยักษ์ที่ถูกออกแบบและสร้างขึ้นอย่างงดงามและประณีต มันให้ความรู้สึกสมจริงไม่ต่างจากฉากถ่ายทำกลางแจ้งในนอร์เวย์เลย และมันน่าทึ่งมากที่เราได้ถ่ายทำในฉากจริงที่ใหญ่และออกแบบมาอย่างดีแบบนี้ มันช่วยให้เรารู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในโลกของซูเปอร์แมนได้อย่างแท้จริง
คุณตื่นเต้นที่สุดอยากให้ผู้ชมได้สัมผัสอะไรเมื่อดูหนังซูเปอร์แมนในโรงภาพยนตร์?
หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่สร้างแรงบันดาลใจ และผมคิดว่าสิ่งที่เจมส์สร้างขึ้นมา ไม่ใช่แค่การดัดแปลงตัวละครจากหนังสือการ์ตูนเท่านั้น แต่คือความรู้สึกเหมือนกับได้ดูหนังสือการ์ตูนที่ยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งฉายบนจอขนาดใหญ่ กับนักแสดงจริงๆ และเอฟเฟกต์เจ๋งๆ ที่คุณได้เห็น ไม่ใช่แค่ในหน้าการ์ตูนเล็กๆ อยู่ตรงหน้าคุณ แต่บนจอที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะมีได้ นั่นแหละ คือสิ่งที่ผมคิดว่าจะทำให้แฟน ๆ ตื่นเต้นที่สุด และ… ผมหวังว่านี่จะเป็นหนังสำหรับคนรุ่นใหม่ที่บางทีอาจจะไม่ได้เข้าไปในร้านหนังสือการ์ตูนหรืออ่านหนังสือการ์ตูนมากนัก หวังว่านี่จะเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาอยากไปที่ร้านหนังสือการ์ตูนเพื่ออ่านเวอร์ชันเล่มของเรื่องราวเหล่านี้ เหมือนที่เจมส์เคยทำตอนเป็นเด็ก
ราเชล บรอสนาฮาน
– ลูอิส เลน –
ทำไมต้องเป็นซูเปอร์แมน และทำไมต้องตอนนี้?
ฉันรักซูเปอร์แมนเพราะซูเปอร์แมนคือคนที่ช่วยเหลือผู้อื่นเพราะมันคือสิ่งที่ถูกต้องจะต้องทำ เขาไม่ได้มีท่าทีเหนื่อยหน่ายหรือรู้สึกท้อแท้เขาเต็มไปด้วยความหวังว่าเขาจะมีบทบาทเล็กหรือใหญ่ในการทำให้โลกนี้ดีขึ้น และฉันคิดว่าเราต้องการสิ่งแบบนี้มากขึ้นในตอนนี้ สิ่งที่ฉันชอบที่สุดเกี่ยวกับซูเปอร์แมนคือเขาเชื่อในพลังของคนที่จะทำดี และฉันรู้สึกว่าเขาสงสัยอยากรู้ว่าความหมายของการเป็นมนุษย์คืออะไร และเขาอยากยกระดับผู้คนรอบตัวเขา และให้เกียรติผู้ที่เลี้ยงดูเขาอย่างคุณพ่อคุณแม่เคนท์ ดังนั้นเขาจึงเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ทั้งแข็งแกร่งและไม่มีใครทำลายได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังค้นหามนุษยธรรมของตัวเอง และฉันคิดว่าเราทุกคนก็ต้องการสิ่งแบบนี้มากขึ้นในตอนนี้
ลูอิส เลน คือใคร?
ลูอิส เลน คือ นักข่าวผู้ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ และเป็นนักข่าวชั้นนำของหนังสือพิมพ์เดลี่ แพลนเน็ต ฉันชอบที่เธอไม่ยอมแพ้ในชีวิต เธอไม่ยอมแพ้ในการตามหาความจริง และเธอไม่ยอมแพ้กับสิ่งที่เธอใส่ใจ เธอเต็มไปด้วยความหลงใหล และฉันรู้สึกว่าสิ่งนี้ทำให้เธอเป็นแรงบันดาลใจ ฉันได้รับแรงบันดาลใจจากเธอ คนที่ไล่ตามทุกอย่างด้วยความตั้งใจเต็มที่ และพร้อมจะไปถึงที่สุดของโลกเพื่อสิ่งที่เธอเชื่อ บางครั้งก็คือไปจริงๆ
รู้สึกอย่างไรเมื่อรู้ว่าคุณได้รับบทเป็นลูอิส เลน?
มันน่าทึ่งมากค่ะ ตอนเด็กๆ ฉันไม่ได้อ่านหนังสือการ์ตูนเลย แต่ฉันเป็นเด็กในช่วงต้นยุค 1990s และ 2000s ซึ่งตอนนั้นซูเปอร์แมน แบทแมน และสไปเดอร์แมน เป็น 3 ตัวละครใหญ่ยอดนิยม และอย่างที่รู้กันว่าบทบาทดี ๆ สำหรับผู้หญิงในจักรวาลเหล่านี้มีไม่มากนัก แต่ฉันก็รู้จักลูอิส เลนเสมอ ฉันโตมากับภาพยนตร์ซูเปอร์แมนของคริส รีฟ กับมาร์ก็อต คิดเดอร์ และฉันคิดว่าเธอน่าทึ่งมาก ทั้งฉลาด ขบขัน และเฉียบคม การได้แสดงเป็นตัวละครที่โดดเด่นนี้ยังคงเหมือนฝันอยู่เลย และปฏิกิริยาจากคนภายนอกก็น่าทึ่งมาก ทำให้ความตื่นเต้นของฉันเพิ่มขึ้นมาก เมื่อได้พูดคุยกับผู้คนเกี่ยวกับความหมายของตัวละครเหล่านี้สำหรับพวกเขา แรงกดดันสูงเพราะมาตรฐานสูง แต่ทีมงานเราพร้อมแล้วที่จะรับมือกับความท้าทายนี้ รักตัวละครเหล่านี้ และอยากฝากรอยของเราไว้กับพวกเขาด้วยเช่นกัน
เรารู้กันแล้วว่าโลอิสและซูเปอร์แมนรู้จักกันในหนังเรื่องนี้ แต่ว่าคุณจะอธิบายพวกเขาอย่างไร?
สิ่งหนึ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับทั้งสองคนนี้คือพวกเขาเหมือนสองด้านของเหรียญเดียวกัน พวกเขาต่างก็ไล่ตามสิ่งเดียวกัน ทั้งคู่เชื่อในพลังของความดี และเชื่อว่ามนุษย์สามารถทำดีได้ และยังมีความดีอยู่ในโลกนี้ ทั้งสองต่างเป็นคนที่เต็มไปด้วยความหวังโดยธรรมชาติ แต่พวกเขามีวิธีที่แตกต่างกันในการแสวงหาความจริงและความยุติธรรม และวิธีต่างกันในการทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น และพวกเขาก็พูดคุยกันเรื่องนี้ในหนังด้วย ลูอิสพูดในช่วงหนึ่งว่า “ฉันตั้งคำถามกับทุกอย่างและทุกคน ส่วนคุณแค่เชื่อใจทุกคนและคิดว่าทุกคนสวยงาม” พวกเขาเหมือนคู่หูทางจิตวิญญาณที่น่าสนใจ และต่างก็เป็นซูเปอร์ฮีโร่ในแบบของตัวเอง แน่นอนว่าซูเปอร์แมนเป็นคนที่ไม่มีวันพ่ายแพ้และมาจากดาวอื่น แต่ลูอิส เลน ก็เป็นซูเปอร์ฮีโร่เช่นกัน เธอเป็นซูเปอร์ฮีโร่ในชีวิตประจำวัน และใช้ปากกาเป็นพลังวิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ พวกเขาเป็นคนสองคนที่มีมุมมองโลกแตกต่างกันในบางเรื่อง แต่โดยพื้นฐานแล้วต่างก็เชื่อในความจริงและความยุติธรรม นั่นคือสิ่งที่ผูกมัดพวกเขาไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีสิ่งวิเศษอย่างเคมีระหว่างกัน ที่คุณไม่อาจจับต้องได้ แม้แต่โลอิสเองก็ไม่สามารถใช้เหตุผลมาหักล้างมันได้
ลูอิสก็เป็นตัวละครที่โดดเด่นในจักรวาลดีซีเช่นกัน ร่วมกับสิ่งที่คุณพบเจอในบทภาพยนตร์ของเจมส์ กันน์ คุณจัดการค้นหาลูอิสและทำให้เธอมีเอกลักษณ์ของตัวเองอย่างไร?
เจมส์กับฉันคุยกันเยอะมากเกี่ยวกับว่าโลกใบนี้เป็นโลกที่ไม่เคยตกยุค มากกว่าจะเป็นโลกในช่วงเวลาหนึ่งหรือโลกยุคปัจจุบัน มันคือยุคสมัยใหม่ แต่มีความรู้สึกที่ไม่เคยเก่า เมโทรโปลิสแน่นอนว่าไม่ใช่สถานที่จริง แต่สำหรับเรามันคือสถานที่จริงในใจเราและบนจอภาพยนตร์ ฉันยังได้ทำงานใกล้ชิดกับจูดิอานนา [มาโควสกี้] ผู้ดูแลการออกแบบเครื่องแต่งกาย ฉันชอบการลองชุดเพราะผมรู้สึกว่าไม่ว่าคุณจะนั่งอยู่บ้านอ่านบทหนัง หรือทุ่มเทกับหนังสือการ์ตูนแค่ไหน ตัวละครก็ยังไม่เกิดขึ้นจริงจนกว่าคุณจะได้ลองใส่ชุดต่างๆ ทำผม แต่งหน้า และมองตัวเองในกระจกแล้วพูดว่า “อ้อ ฉันคิดว่านี่แหละ” หรือ “ฉันกำลังเรียนรู้อะไรบางอย่างจากสิ่งนี้” โลอิสในตำนานคือผู้หญิงทันสมัยที่มีความกล้าหาญ และอาจเป็นตัวละครที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดตามกาลเวลาเมื่อหนังสือการ์ตูนพัฒนาไป เธอแสดงถึงอุดมคติของผู้หญิงฉลาด กล้าหาญ และไม่ยอมแพ้ในแต่ละยุคที่หนังสือการ์ตูนถูกสร้างขึ้น ดังนั้นโลอิสในยุค 50 จึงแตกต่างจากยุค 70 อย่างมาก เราจึงตั้งคำถามว่า “ลูอิส เลนในยุคที่สื่อสิ่งพิมพ์กำลังเสื่อมความนิยม จะเป็นอย่างไร?” เธอคือคนที่เชื่อว่านี่คือวิธีที่เธอจะสร้างความเปลี่ยนแปลง เธอไม่ได้เป็นคนพูดบนหน้าจอ แต่จุดแข็งของเธออยู่ที่การเขียน และเธอทุ่มเทกับสิ่งนี้ เราจึงพูดคุยกันว่าการทำงานในวงการข่าวสมัยนี้ไม่เคร่งครัดเหมือนสมัยก่อน ดังนั้นคุณอาจจะไม่เห็นเธอสวมสูทเต็มตัว แต่เธอใส่เสื้อกั๊ก ดูเป็นมืออาชีพ และมีลุคที่ผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยเวลาอยู่บ้าน เราคุยกันเรื่องชุดที่มีช่องใส่ของเพราะเธอต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา เราต้องการให้เธอดูเหมือนนักข่าวสิ่งพิมพ์โดยเฉพาะ ไม่ใช่นักข่าวที่อยู่หน้ากล้องเหมือนที่เห็นกันในวันนี้และนั่นคือเป้าหมาย วันนี้สิ่งที่คุณจะใส่ไปทำงานอาจผ่อนคลายกว่าในเวอร์ชันก่อนๆ เราอยากเคารพทุกเวอร์ชันของลูอิส และหาเส้นแบ่งที่เหมาะสมระหว่างความเป็นมืออาชีพและความรู้สึกของยุคสมัยนี้
อพาร์ตเมนต์ของโลอิสเป็นสถานที่สำคัญในภาพยนตร์ สไตล์ของเธอสะท้อนวิถีชีวิตของเธออย่างไรบ้าง?
พวกเราคุยกันเยอะมากเกี่ยวกับการที่ใครสักคนมีจุดมุ่งหมายชัดเจนและแน่วแน่แค่ไหน และสิ่งนั้นจะแสดงออกมาในพื้นที่อยู่อาศัยหรือในชีวิตประจำวันยังไง สำหรับโลอิสคนนี้ เราคุยกันถึงความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ของเธอ ความหลงใหลในงานของเธอ และความจริงที่ว่าเธอทำงานตลอดเวลา นั่นหมายความว่าเธอเป็นคนที่เน้นการใช้งานจริง มีความเป็นเหตุเป็นผล ทุกอย่างในชีวิตของเธอต้องใช้ได้หลายอย่างและหยิบใช้ได้รวดเร็ว เธออาจจะกินแค่กราโนล่าบาร์ หรือหยิบกล้วยมากินอย่างเร็วๆ แล้วก็ยัดทุกอย่างใส่กระเป๋าเสื้อ: ปากกาสำรอง บัตรผ่านอีกใบเผื่อทำหายในบ้านของเธอ ซึ่งเป็นอะไรที่ฉันเองก็เจอเวลายุ่งมากๆ บางทีเราก็มีเวลาแค่ซักผ้า แต่ไม่มีเวลาพับ หรือบางทีพับแล้วแต่ยังไม่ได้เก็บ ฉันชอบแนวคิดที่ว่าโลอิสอาจจะมีเสื้อผ้ากองอยู่ปลายเตียง เพราะเธอไม่มีทั้งเวลา ไม่มีพลัง หรือแม้แต่สมาธิจะเอาไปเก็บ ทุกอย่างในบ้านเธออาจจะไม่ค่อยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนัก แต่ทุกอย่างอยู่ในกล่องและสามารถโยนทิ้งได้ง่ายๆ ทั้งหมดนี้เพื่อความสะดวก และเพื่อให้เธอสามารถโฟกัสกับงานได้เต็มที่ ทำให้เธอทำงานได้เต็มศักยภาพที่สุด
เมื่อได้อยู่แถวหน้าในกองถ่าย เดวิด โคเรนสเวต นำอะไรมาใส่ในบทของซูเปอร์แมน และคลาร์ก เคนต์ บ้าง?
คลาร์กกับซูเปอร์แมนดูเหมือนจะมีบางสิ่งในตัวที่เหมือนกันอย่างเห็นได้ชัด แต่การได้เห็นเดวิดสวมบทซูเปอร์แมน แล้วรู้สึกแตกต่างจากคลาร์กมากนั้นมันน่าทึ่งจริงๆ ฉันไม่มีวันลืมเลยตอนที่เรากำลังทดสอบหน้ากล้องกัน ตอนที่ฉันกำลังจะออกจากกองถ่าย ฉันเดินผ่านห้องลองเสื้อห้องหนึ่ง แล้วเห็นเดวิดกำลังลองชุดเวอร์ชันหนึ่งอยู่ ตอนนั้นพวกเรายังไม่รู้เลยว่าได้งานหรือเปล่า แต่ฉันจำได้ว่ามองเขาในชุดนั้นแล้วคิดว่า “พระเจ้า เขาคือซูเปอร์แมนจริงๆ และเขาก็คือคลาร์กด้วย” ทั้งสองตัวละครมีความจริงใจบางอย่างที่รู้สึกว่าไม่เหมือนใครเลย และมันยอดเยี่ยมมากที่ได้ดูเขาค่อยๆ สร้างตัวละครทั้งสองขึ้นมา
ลูอิสได้มีปฏิสัมพันธ์กับทีม Justice Gang ด้วย โดยเฉพาะมิสเตอร์ เทอร์ริฟิค โดยไม่สปอยล์มากเกินไป คุณมีประสบการณ์อย่างไรในการทำงานร่วมกับเอดี กาเธกี?
มันสนุกมากจริงๆ เอดีเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาก เขาตลก เฉียบแหลม และฉลาดสุดๆ เรามีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมตอนที่เรายืนอยู่ตรงทางเข้าของฉากที่เท่มากๆ แล้วพวกเขาก็แขวนเราห้อยลงมาจากเพดาน และใช้เครื่องมือชิ้นหนึ่งที่เวลาหมุนมัน หนึ่งด้านจะเป็นกระจก ส่วนอีกด้านเป็นอย่างอื่น แล้วพอเขาหันมันมาทางเรา เอดีก็คว้าแขนฉันไว้แล้วอุทานขึ้นมา ฉันนึกว่ามีอะไรผิดพลาด เพราะเมื่อครู่ก่อนหน้านั้นยังมีประกายไฟพุ่งอยู่เลย แต่เขาหันมามองฉันด้วยความซาบซึ้งมาก แล้วพูดว่า “ผมเห็นเราแล้ว ผมเห็นเราอยู่ในหนังจริงๆ” และมันก็เป็นช่วงเวลาแบบนั้น ที่แม้จะเป็นแค่เงาสะท้อนเพียงแวบเดียว แต่ทำให้รู้สึกได้ว่าเรากำลังสร้างบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก มากกว่าหนังอินดี้เล็กๆ ที่ถ่ายในอพาร์ตเมนต์ของลูอิส เลน
การทำงานในกองถ่ายของเจมส์ กันน์เป็นอย่างไรบ้าง?
การทำงานในกองถ่ายของเจมส์ กันน์เหมือนการเติมเต็มหนังด้วยความรักและความหวัง เขาศึกษาลึกซึ้งเกี่ยวกับพวกเราทุกคน เขาชัดเจนมากว่ามีกฎว่าไม่ยอมให้ใครมาเป็นคนไม่ดีในกองถ่ายของเขา และเขารวมกลุ่มคนที่ตื่นเต้นที่จะได้อยู่ที่นั่นและมีความสุขกับการมาทำงานทุกวัน เขารักจักรวาลนี้ รักตัวละครเหล่านี้ และพลังงานแบบนั้นมันส่งต่อมาจากผู้บริหารระดับสูง ดังนั้นมันจึงเป็นประสบการณ์ที่สนุกมาก เรามีความสุขกันมาก เขามีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนว่าต้องการทำอะไร แต่ก็ร่วมมือกับเราอย่างดี และเปิดโอกาสให้เราได้เล่น ทดลอง และทำงานร่วมกัน มันสุดยอดมาก
ทำไมคุณคิดว่าตัวละครเหล่านี้และเรื่องราวของพวกเขาถึงยังคงอยู่ได้นาน?
ผมคิดว่าเรื่องราวเหล่านี้อยู่ได้นานเพราะพวกมันเน้นถึงความสำคัญของซูเปอร์ฮีโร่ในชีวิตประจำวัน โลอิส เลน เป็นนักข่าว เธอคือซูเปอร์ฮีโร่ในชีวิตประจำวัน มะลิ แม่ค้าริมถนน ก็เป็นซูเปอร์ฮีโร่ในแบบของเขาเอง โดยพื้นฐานแล้วมันคือความแข็งแกร่งที่เรามีอยู่ภายใน ไม่ว่าจะมีพลังพิเศษจริงหรือไม่ก็ตาม และผมคิดว่าเราน่าจะต้องการกำลังใจและความหวังแบบนี้มากขึ้น
สิ่งที่คุณตื่นเต้นที่สุดที่อยากให้ผู้ชมได้สัมผัสเมื่อดูซูเปอร์แมนในโรงภาพยนตร์คืออะไร?
นี่เป็นโอกาสที่จะได้นำแฟนรุ่นใหม่เข้าสู่จักรวาลของตัวละครในตำนานเหล่านี้ และบางตัวละครที่พวกเขาอาจไม่เคยรู้จักมาก่อนในหนังเรื่องนี้ก็มี ตัวละครที่น่าทึ่งหลายตัวที่ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้มีเวลาปรากฏบนหน้าจออย่างเต็มที่ อย่าง เช่น เมทามอร์โฟที่ผมเองก็ไม่ค่อยคุ้นเคยมาก่อน แต่เขาเป็นตัวละครที่เจ๋งมาก ดังนั้นมันจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่จะเชิญชวนผู้ชมหน้าใหม่ และหวังว่าผู้ชมที่รักจักรวาลนี้อยู่แล้วก็จะชอบด้วย เหมือนที่เดวิด (คอเรนสเวต) เคยบอกไว้ คอมิกส์นั้นเต็มไปด้วยความหวัง และมันสำคัญที่เราจะสร้างความหวังแบบนั้นบนจอ ซูเปอร์แมนเป็นคนที่เต็มไปด้วยความหวัง และรักการช่วยเหลือผู้คน เขาไม่ใช่ตัวละครที่มืดมนหรือดิบเถื่อน แม้ว่าเขาจะมีช่วงเวลาท้าทายบ้าง แต่เขาก็เป็นคนที่ช่วยคนเพราะเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง และเราเองก็น่าจะได้เห็นสิ่งแบบนี้มากขึ้น ดังนั้นหวังว่าหนังเรื่องนี้จะสนุก น่าติดตาม และเป็นแรงบันดาลใจ รู้ว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ แต่ผมแค่คิดว่า เชื่อใจเจมส์ กันน์เถอะ ผมคิดว่าเราทำได้แน่นอน
นิโคลาส ฮอลท์
– เล็กซ์ ลูเธอร์ –
บทบาทของวายร้ายซูเปอร์ฮีโร่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในจักรวาลซูเปอร์แมนมาถึงคุณได้อย่างไร?
ผมเป็นแฟนงานของเจมส์ กันน์มานานแล้ว ดังนั้นเมื่อเขาและปีเตอร์ ซาฟรานเข้ามาคุมจักรวาลดีซี มันทำให้ผมตื่นเต้นมาก ผมคิดว่าไม่ว่าเขาจะสร้างอะไรขึ้นมา ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งของมัน แล้ว—นี่เป็นครั้งแรกที่ผมทำแบบนี้ ผมได้ส่งข้อความหาเจมส์ในไดเร็กต์แมสเสจพร้อมกับบอกว่า “เฮ้ ผมตื่นเต้นที่จะได้เห็นสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะเข้าไปมีส่วนร่วมได้ บอกผมด้วยนะ” นั่นทำให้เอเจนต์ของผมคุยกับเขาเล็กน้อย แล้วผมได้คุยกับปีเตอร์ และแน่นอนว่าซูเปอร์แมนถูกพูดถึงแวบหนึ่ง ผมเลยถามว่าพวกเขาจะรู้สึกยังไงถ้าผมลองเสนอตัวเล่นซูเปอร์แมน? เขาบอกโอเค ยินดีให้มาทำการทดสอบหน้ากล้องไหม? ผมก็ตอบตกลง เพราะผมแค่ต้องการลองใส่ชุดซูเปอร์แมน ซึ่งผมเชื่อว่าเด็กทุกคนในโลกล้วนอยากทำแบบนี้สักครั้งในชีวิต ผมสนุกกับวันนั้น แต่ก็ไม่ได้บทนี้แน่นอน [หัวเราะ] แต่แล้ววันหนึ่งผมได้รับโทรศัพท์จากเจมส์ เขาถามว่า “คุณรู้สึกยังไงถ้าจะเล่นบทเล็กซ์?” ผมหัวเราะอย่างร้ายกาจลงโทรศัพท์กับเขา จำได้ชัดเจนเลย เพราะทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น ความรู้สึกแรกในหัวผมตอนอ่านบทครั้งแรกก็บอกว่า ผมอาจเล่นบทเล็กซ์ได้ดีกว่าและสนุกกว่ามาก แต่ผมไม่ได้บอกใคร เพราะตอนนั้นผมกำลังอยากเล่นซูเปอร์แมนอยู่ แต่พอเขาโทรมา ผมดีใจมาก รู้สึกเหมือนกับว่าเป็นการจัดเตรียมโดยจักรวาลที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ตอนที่คุณรู้ว่าเดวิด คอเรนสเวต ได้รับบทซูเปอร์แมน คุณคิดอย่างไร?
ตอนที่ผมยังไม่รู้ว่าเดวิดกำลังออดิชัน ผมเคยดูหนังเรื่อง Pearl ที่เขาเล่น และเขามีเสน่ห์ ความง่ายดาย และความเป็นดาราหนังอมตะที่จับใจ ผมจำได้ว่าดูหนังเรื่องนั้นแล้วได้ยินข่าวว่าเขาออดิชันบทซูเปอร์แมน ผมคิดในใจว่า “ว้าว นี่เป็นตัวเลือกที่ดีจริงๆ” แล้วผมก็เจอเขาตอนทดสอบกล้อง เราจับมือกัน และผมรู้สึกเลยว่าเขาเหมาะสมมาก รู้สึกเหมือนซูเปอร์แมนในตอนนั้น และตอนนี้หลังจากได้ร่วมงานกับเขา ได้เห็นวิธีที่เขาเข้าถึงตัวละคร ความทุ่มเท ความอบอุ่น และความใจดี รวมถึงทุกสิ่งที่เขาสื่อสารออกมาในบทซูเปอร์แมน ผมตื่นเต้นมากที่ทุกคนจะได้เห็นวิธีที่เขานำตัวละครนี้มาสู่ชีวิตจริง
ทำไมเจมส์ กันน์ถึงเป็นผู้กำกับที่เหมาะสมที่สุดในการนำซูเปอร์แมนกลับมาสู่จอใหญ่?
เจมส์ให้ความเคารพกับทุกองค์ประกอบของซูเปอร์แมนที่เรารัก และผสมผสานสิ่งเหล่านั้นเข้าไปในเรื่องราวใหม่ โลกใบใหม่ แต่ก็ยังมีความโดดเด่นและมุมมองใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับแนวคิดดั้งเดิม มันเป็นสิ่งที่จริงใจ และในฐานะนักแสดง เขาเขียนฉากที่มีบทสนทนาสุดเจ๋งที่เล่นได้สนุกมาก ส่วนในมุมมองของผู้ชม เวลาผมดูงานของเขา ผมสนุก ผมเพลิดเพลิน มันกระชับ มีความเฉียบคม ตัวละครที่ผมชอบอยู่ด้วย เรื่องราวพัฒนาไปในทางที่ไม่คาดคิดและสนุก ทุกอย่างผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ผมชอบทำงานกับเจมส์มาก เพราะเขามีสองสิ่งที่ยอดเยี่ยม คือความสามารถในการรู้ว่าเขาต้องการอะไรอย่างชัดเจน มีวิสัยทัศน์ที่แน่นอนและมั่นใจว่าสิ่งนั้นจะเวิร์กสำหรับสิ่งที่เขากำลังสร้าง แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดกว้างสำหรับไอเดียใหม่ๆ และยินดีลองเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ การผสมผสานแบบนี้เหมาะสำหรับนักแสดงมาก เพราะคุณจะได้อิสระที่จะพูดว่า “เอาล่ะ ลองแบบนี้ไหม? แบบนี้น่าสนใจไหม? ผมขอดูแบบนี้ได้ไหม?” ถ้าเขาชอบ ก็เยี่ยมเลย มันก็จะถูกนำมาใช้ และในเวลาเดียวกันคุณก็รู้สึกปลอดภัย ไว้ใจ และมั่นใจว่าเขามีทุกอย่างในมือและรู้ว่าต้องการอะไรจริงๆ
ทำไมคุณคิดว่าเล็กซ์ ลูเธอร์ถึงยังคงเป็นศัตรูตัวฉกาจของซูเปอร์แมนมาได้ยาวนานขนาดนี้?
ผมคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาเป็นตัวละครที่ไร้กาลเวลา เพราะเขาเปลี่ยนแปลงและพัฒนามาเยอะมากตลอดประวัติศาสตร์ในการ์ตูน ตั้งแต่ภาพแรกเริ่มที่เขาเป็นปรปักษ์ของซูเปอร์แมน ทั้งในแง่อุดมคติ สิ่งที่ซูเปอร์แมนยืนหยัด และสิ่งที่เล็กซ์พยายามจะไขว่คว้า ซึ่งทั้งหมดนั้นได้เปลี่ยนไปมากในคอมิกยุคหลังๆ มันสนุกมากในฐานะนักแสดงที่ได้ย้อนดูแต่ละยุค แล้วเลือกสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการแสดงเล็กซ์ในบทและเรื่องราวนี้ และพอคุณได้ดูหนัง ผมคิดว่าจะมีบางอย่าง โดยเฉพาะจากคอมิกล่าสุดๆ ที่รู้สึกจริงและซื่อตรงมาก แรงจูงใจของเล็กซ์ แม้ว่าวิธีการของเขาจะน่าสงสัยเสมอ แต่แรงขับเคลื่อนและความเชื่อ หลายอย่างของเขากลับเข้าใจได้ง่ายมาก โดยเฉพาะในสิ่งที่เขาพยายามจะปกป้อง มีแนวคิดหนึ่งที่ผมเก็บเอาไว้ในใจ ไม่รู้ว่ามันถูกไหมนะ ผมก็ไม่แน่ใจว่าเคยคุยกับเจมส์เรื่องนี้รึเปล่า แต่แนวคิดที่ว่า เล็กซ์ ถึงแม้เขาจะดูชั่วร้ายแค่ไหน แต่ลึก ๆ เขามีความรักที่จริงใจต่อมนุษยชาติ และเขามองว่าตัวเองแทบจะเป็นคนเดียวที่ฉลาดพอ รู้ทันพอ ที่จะปกป้องมนุษย์จากสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตรายมากๆ อย่างเช่น การที่มนุษย์ต่างดาวคนหนึ่งจะเข้ามายึดครองและมีพลังเหนือทุกอย่าง นั่นแหละคือความสนุกของการรับบทเป็นวายร้าย การได้แกะตัวละครออกเป็นชิ้นๆ บิดมุมมองทางความคิดนิดหน่อย แล้วอยู่ดีๆ ก็พบว่าทุกอย่างที่เขาทำนั้นสมเหตุสมผลมาก และนั่นแหละคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมในบทหนังเรื่องนี้ และหวังว่าเล็กซ์ในเวอร์ชันนี้จะถ่ายทอดออกมาได้แบบนั้นเช่นกัน
เล็กซ์ดูเหมือนจะใช้เวลาในยิมบ้างในหนังเรื่องนี้ — นั่นเป็นสิ่งที่คุณเลือกเองหรือเปล่า? ถ้าใช่ ทำไมถึงเลือกแบบนั้น?
ผมไปยิมกับเดวิดครั้งแรก และตั้งใจสุดๆ ว่าจะยกให้ได้เท่าเขา ยกอะไรก็จะยกตามให้ได้หมด แต่ผมทำไม่ได้ ผมเกือบได้นะ แต่ก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี [หัวเราะ] มีช่วงหนึ่งที่ยอดเยี่ยมมากใน All-Star Superman ที่คลาร์กไปเยี่ยมเล็กซ์ในคุก แล้วเล็กซ์กำลังออกกำลังกายอยู่ เขาพูดอะไรบางอย่างประมาณว่า “รู้สึกไหม? นั่นกล้ามเนื้อจริงๆ นะ นั่นคือความพยายามและการลุยงานหนัก” บางอย่างในคำพูดนั้นมันสื่อถึงตัวเล็กซ์ได้ดีสำหรับผมเลย ซูเปอร์แมนได้รับพลังมหาศาลเหล่านี้มาโดยไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นของขวัญที่ได้มาเปล่าๆ ในขณะที่เล็กซ์ต้องขับเคลื่อนตัวเอง ต้องพยายาม ต้องทำงานหนัก และยิ่งเจ็บใจเข้าไปอีกที่มีคนอย่างซูเปอร์แมนที่ทำได้ทุกอย่างโดยไม่ต้อง “ลุย” แบบเขา เพราะงั้นผมเลยไปยิม ผมอยากรู้สึกว่าตัวเองพร้อมในเชิงร่างกาย มีความสามารถ มีความตั้งใจ มีพลังในแบบของเล็กซ์ นอกเหนือจากนั้นก็กลับไปศึกษาจากต้นฉบับ คอยหาแนวคิดหรือช่วงเวลาเล็กๆ เกี่ยวกับเล็กซ์ที่น่าสนุก แล้วก็ขยายออกไปในทิศทางอื่นๆ พยายามอ่านหนังสือ ดูนั่นดูนี่ ฟังเพลง อะไรก็ได้ที่ช่วยให้รู้สึกเชื่อมโยงและได้แรงบันดาลใจ รวมถึงการอ่านบทซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอดด้วย
คุณคิดว่าพลังวิเศษของเล็กซ์ ลูเธอร์คือความฉลาดของเขาหรือเปล่า?
สมองชนะพละกำลัง จริงไหม? วันหนึ่งในกองถ่ายพวกเรายังพูดกันเล่นๆ เลย เพราะมันเป็นแนวคิดที่ชัดเจนว่า เล็กซ์รู้สึกเป็นรองซูเปอร์แมนในหลายๆ ด้าน เขาไม่สามารถแข่งกับซูเปอร์แมนในเรื่องพละกำลังได้ แต่เขาสามารถใช้ความฉลาดเหนือชั้นของเขาในการชิงไหวชิงพริบและควบคุมสถานการณ์ได้ นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ตัวละครนี้สนุก เพราะเขามักจะนำหน้าคนอื่นอยู่หลายก้าวตลอดทั้งเรื่องเขาฉลาดมาก ฉลาดจนสามารถเอาชนะความคิดของทุกคนได้ รวมถึงซูเปอร์แมนด้วย
คุณโกนหัวเพื่อลับบทบาทนี้ แต่คุณพัฒนารูปลักษณ์ภายนอกของเล็กซ์อย่างไรอีกบ้าง มันส่งผลต่อ ตัวตนภายในของเขายังไง?
มันสนุกมากนะครับกับการได้ร่วมงานกับจูเดียนนา (มาโควสกี้) ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ในแนวคิดเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกที่เล็กซ์อยากจะนำเสนอให้โลกเห็น เหมือนกับเกราะของเขา สูทที่ตัดเย็บอย่างประณีต สไตล์ของเขา ความมั่นใจที่แสดงออกมา สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดคือสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกมั่นใจและรู้สึกดีกับตัวเอง และเธอก็สุดยอดมากในการทำให้สิ่งเหล่านั้นมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ โดยทำให้รายละเอียดทุกอย่างเป๊ะอย่างไร้ที่ติ
คุณถ่ายทอดหลายแง่มุมของเล็กซ์ ลูเธอร์ นั่นเป็นสิ่งที่คุณได้พูดคุยกับเจมส์ไหม?”
ผมชอบเล่นบทวายร้าย มันสนุกมากจริงๆ ในไม่กี่ครั้งที่ผมเคยได้เล่นแบบนั้น ในการคุยกับเจมส์ครั้งแรกๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ เราก็พูดกันว่า ใช่ เขาเป็นวายร้าย คนต้องเกลียดเขา แต่ในขณะเดียวกัน เราก็อยากจะพลิกมุมนั้นเล็กน้อย เราอยากให้คนเข้าใจเล็กซ์ในบางแง่มุม และหวังว่าบางที แม้จะแปลกไปหน่อย คนอาจจะเริ่มรู้สึกเห็นใจเขาด้วยซ้ำ และนั่นคือสิ่งที่ผมชอบมากในการเป็นนักแสดง คือการค่อยๆ บิดเบือนหรือหักมุมการแสดงให้มันแตกต่างจากที่คนคาดไว้ ผมคิดว่านั่นแหละคือสิ่งที่คุณสามารถทำได้กับตัวละครแบบนี้ เริ่มต้นในทิศทางหนึ่ง แล้วค่อยๆ ถ่ายทอดบทบาทแสดงความหลากหลาย จนคนดูพูดว่า “อ๋อ โอเคแล้ว”
ดิ เอนจิเนียร์คือใครสำหรับ เล็กซ์ ลูเธอร์?
ดิ เอนจิเนียร์ เป็นอดีตทหารหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ซึ่ง เล็กซ์ ลูเธอร์ ได้พัฒนาเทคโนโลยีนาโนให้กับเธอ เทคโนโลยีนั้นไหลเวียนอยู่ในเลือดของเธอ เธอสามารถเปลี่ยนมันให้กลายเป็นอะไรก็ได้ที่เธอจินตนาการ ซึ่งแน่นอนว่าเจ๋งมาก และนั่นทำให้เธอแทบจะไม่มีใครหยุดยั้งได้ เช่น การเปลี่ยนมือให้กลายเป็นใบเลื่อยวงเดือน หรือสิ่งอื่น ๆ ทำนองนั้น และ แกบบี้ เด ฟาเรีย แสดงบทนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม เธอฝึกฝนอย่างหนักกับทีมสตันต์ในด้านร่างกาย เพื่อเตรียมตัวสำหรับบทนี้ เธอสามารถทำท่าทางการเคลื่อนไหวสุดเหลือเชื่อได้ทั้งหมด และทำให้ฉากแอ็กชันที่เกิดขึ้นทางกายภาพดูพิเศษมาก พอมีการใส่เทคนิคพิเศษ เข้าไปเพิ่มฉากแอ็กชันก็ยิ่งกลายเป็นสิ่งที่พิเศษสุดจริง ๆ
นาธาน ฟิลเลียน
– กาย การ์ดเนอร์/กรีน แลนเทิร์น –
ซูเปอร์แมนมีความหมายอย่างไรสำหรับคุณ?
ซูเปอร์แมนมีความหมายอย่างไรสำหรับผมเหรอ? เขาคือตัวแทนของความเป็นตำนานเป็นที่สุด เป็นอันดับหนึ่ง เขาแทบจะไร้เทียมทานมีพลังมากที่สุด และไม่มีทางถูกทำให้เสื่อมเสียได้เลย เวลาที่คุณนึกถึงฮีโร่ในระดับสูงสุด เท่าที่จะนึกออก นั่นแหละคือซูเปอร์แมน และเขายังอยู่ข้างคุณเสมอ เว้นแต่ว่าคุณจะเป็นคนเลว ถูกไหม? เพราะฉะนั้นคุณจึงวางใจในตัวเขาได้ตลอดเวลา ถ้าทุกอย่างกำลังแย่ลงสุด ๆ คุณก็จะคิดว่า ‘ถ้าซูเปอร์แมนอยู่ตรงนี้ก็คงดีสิ'”
คุณรู้สึกอย่างไรตอนที่ได้อ่านบทของเจมส์ กันน์ ครั้งแรก?
ทุกคนรู้จักเรื่องของทารกจากดาวคริปตันที่มายังโลกและเติบโตในแคนซัสอยู่แล้ว พวกเราทุกคนรู้เรื่องนั้นดี ดังนั้นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดสำหรับฉันบนหน้ากระดาษก็คือ เราเริ่มต้นกันในโลกที่ผู้คนรู้จักซูเปอร์แมนอยู่แล้ว และยิ่งไปกว่านั้น มันไม่ใช่โลกของเรา ไม่ใช่โลกที่เราถูกนำเสนอมาโดยตลอดว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าซูเปอร์แมนมาอยู่ในโลกของเรา แต่ในเรื่องนี้กลับเป็นจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราอยู่ในโลกของเขา? โลกแบบในหนังสือการ์ตูนที่สิ่งมีชีวิตจากมิติต่างๆ มีอยู่จริง ผู้คนเข้าใจกันดีว่ามีเอเลี่ยน มีหุ่นยนต์ มีสัตว์ประหลาดยักษ์ และเราไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเดียวในจักรวาล นี่แหละคือสิ่งที่ฉันได้เสพจากการอ่านการ์ตูนตอนเด็ก และนี่คือโลกที่เจมส์พาเราเข้าไปอยู่ด้วยชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งฉันคิดว่ามันสดใหม่และแตกต่างมากจริงๆ
มีหลากหลายตัวละครในจักรวาลกรีน แลนเทิร์น มีทั้ง Green Lantern Corps เต็มทีม คุณรับบทเป็นใคร?
ถ้าคนรู้จัก Green Lantern แค่พอประมาณ พวกเขาก็มักจะคุ้นชื่อ ฮาล จอร์แดน ซึ่งเป็นคนหล่อ กล้าหาญ มีเกียรติ และดูเท่มาก คือครบสูตรเลย และเขาเป็นตัวละครที่คนชอบ ซึ่งผมว่าเป็นสิ่งที่นักแสดงหลายคน โดยเฉพาะตอนเริ่มต้น มักจะอยากเป็นอยากให้คนชอบ อยากดูเจ๋ง อยากดูเท่ ผมเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันตอนเป็นนักแสดงหนุ่มที่เพิ่งเริ่มต้น แต่สิ่งที่ผมได้เรียนรู้เมื่อเวลาผ่านไปก็คือ ข้อบกพร่องคือขุมทองของตัวละคร และนั่นแหละคือสิ่งที่กาย การ์ดเนอร์มีเหลือล้น เขาเป็นคนที่มีข้อบกพร่องชัดเจนมาก แต่คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีเพื่อจะใช้พลังแหวนกรีน แลนเทิร์นได้ คุณแค่ต้องมีความมุ่งมั่นเท่านั้น และร่างกายก็ต้องมีความมุ่งมั่นอันแรงกล้าด้วย แต่เขาก็มีอะไรบางอย่างในสมองที่เหมือนกับสวิตช์บางอย่างมันถูกพลิกไปแล้ว เขาเหมือน โซเฟีย จากเรื่อง Golden Girls เขาขาดฟิลเตอร์ที่บอกว่าอันนี้อย่าพูดนะ หรือคิดแค่ในใจก็พอ เขาไม่มีสิ่งนั้นเลย และเขาก็โอเคกับมัน สำหรับนักแสดงแล้ว การได้เล่นเป็นคนแบบนี้ เป็นคนกวนๆ เป็นคนปากเสีย มันให้อิสระมากจริงๆ และผมว่ามันก็ทำให้ตัวละครดูเข้าถึงได้ง่ายขึ้นมากด้วย
เล่าให้ฟังหน่อยเกี่ยวกับกลุ่มที่กายตั้งชื่อว่า “The Justice Gang”?
ถ้าคุณลองจินตนาการว่าตัวเองอยู่ในโลกของหนังสือการ์ตูน คุณคงไม่เดินเข้าไปในคาเฟ่หรือร้านขายของแล้วเจอ The Justice Gang หรอกนะ คุณน่าจะเจอพวกเขาตอนที่บางอย่างกำลังผิดพลาดอย่างรุนแรง และคุณต้องการพวกเขาแบบด่วนๆ ซึ่งนั่นแหละคือช่วงเวลาที่เราจะได้เจอกับ The Justice Gang ในหนังเรื่องนี้ คือมีคนโทรมาประมาณว่า “เราต้องการ The Justice Gang แล้วล่ะ” แล้ว ปึ้ง! พวกเราก็มาเลย บินตรงเข้าฉากเพื่อช่วยโลกทันที ในทีมก็มี ฮอว์กเกิร์ล (Hawkgirl), มิสเตอร์เทอร์ริฟิก (Mister Terrific) และ กาย การ์ดเนอร์ (Guy Gardner) กรีนแลนเทิร์นหนึ่งในไม่กี่คนที่มาจากโลก กรีนแลนเทิร์นทุกคนที่เคยโผล่ในหนังมาก่อนหน้านี้ ล้วนแต่รับบทโดยนักแสดงชาวแคนาดาทั้งนั้น แค่นั้นแหละที่ผมจะพูด
มุมมองของกาย การ์ดเนอร์ที่มีต่อเพื่อนเมตาฮิวแมนและซูเปอร์ฮีโร่อย่างซูเปอร์แมนคืออะไร?
กาย การ์ดเนอร์ มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก และคิดว่าเขาเก่งที่สุดแล้ว เขาเป็นคนที่ชีวิตมักไม่ค่อยเข้าข้างในหลายๆ ด้าน จึงทำให้เขามีปมในใจเกี่ยวกับการที่ใครสักคนจะถูกมองว่าเหนือกว่าเขา เขาเป็นคนที่ขับเคลื่อนด้วยอีโก้อย่างแรง การที่ผู้คนยกย่อง ซูเปอร์แมน ให้อยู่ในจุดสูงสุด มันทำให้กายรู้สึกขัดใจหรืออิจฉาอยู่ลึกๆ กายคงไม่ลังเลเลยที่จะคว้าโอกาสในการเผชิญหน้ากับซูเปอร์แมนแบบตัวต่อตัว หมัดต่อหมัด เรียกได้ว่าฝ่ายแดงปะทะฝ่ายเขียว
ในฐานะคนที่เคยร่วมงานกับ เจมส์ กันน์ หลายครั้ง คุณจะอธิบายแนวทางของเขาในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์อย่างไร?
เจมส์ รักงานของเขาอย่างชัดเจน และเขาก็เล่าเรื่องได้เก่งมาก ซึ่งสุดท้ายแล้ว นั่นแหละคือหัวใจสำคัญ จะเล่าเรื่องให้ดีได้อย่างไร? จะนำเสนอเรื่องราวยังไงให้ดีที่สุด? เขามีมุมมองเฉพาะตัว ซึ่งผมเองก็ชื่นชมมาก ไม่รู้ว่าเขาได้มันมาจากไหน แต่ผมซาบซึ้งในมุมมองนั้นจริงๆ ผมคิดว่าการทำงานกับเขาเป็นเหมือนการเดินทางเพื่อค้นพบ เพราะแม้ว่าเขาจะมีแผนอยู่ในหัวแน่นอน เขาก็ยังเปิดรับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น เขาอาจจะเริ่มต้นด้วยไอเดียเจ๋งๆ 5-6 เรื่อง แต่ก็พร้อมจะปรับไปตามสิ่งที่สร้างขึ้นตอนนั้น พร้อมรับทุกอย่างที่ช่วยขับเคลื่อนเรื่องราวไปข้างหน้า หรือเพิ่มชั้นความลึกที่สำคัญเข้าไป แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็เตรียมตัวมาดีมากๆ เขารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทั้งในเชิงภาพ การออกแบบเครื่องแต่งกาย สีสัน ดนตรี… เขาวางทุกอย่างไว้เรียบร้อยในหัว เขารู้ว่าทุกวินาทีจะเกิดอะไรขึ้น นี่แหละคือความยอดเยี่ยมของการทำงานกับ เจมส์ กันน์ เขารู้จริงว่ากำลังทำอะไรอยู่ แล้วเราก็แค่เดินออกไปในโลกพร้อมรับเครดิตจากงานหนักที่เขาทุ่มเทไว้แล้ว! [หัวเราะ]
ผู้ชมจะได้พบกับอะไรเมื่อได้ชม Superman ในช่วงซัมเมอร์นี้?
ลองนึกถึงทุกอย่างที่ เจมส์ กันน์ เคยทำกับทุกโปรเจกต์ที่เขาได้แตะ วิธีที่เขาเติมความอบอุ่น วิธีที่เขาใส่มนุษยธรรมลงไป วิธีที่เขาทำให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกับสิ่งมหัศจรรย์ผ่านดนตรีที่เขาเลือก ทุกอย่างที่เขาทำล้วนทำให้เรื่องราวเข้าถึงได้ง่าย และตอนนี้เขากำลังนำสิ่งเหล่านั้นมาใช้กับบางสิ่งที่เป็นไอคอนระดับตำนานอย่าง Superman คุณจะได้พบกับประสบการณ์ที่พิเศษจริงๆ
เอดิ กาเธกิ
– มิสเตอร์ เทอร์ริฟิค –
ทำไมตัวละครของคุณซึ่งมีชื่อซูเปอร์ฮีโร่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดชื่อหนึ่งตลอดกาล ถึงทำให้คุณรู้สึกเชื่อมโยงกับเขา?
ก่อนอื่นเลย ตัวละครนี้เป็นคนผิวดำ ซึ่งในโลกของซูเปอร์ฮีโร่นั้น เราไม่มีตัวเลือกมากนักสำหรับฮีโร่ผิวดำ และเขาเป็นหนึ่งในนั้น แต่เขาไม่ได้มีแค่เรื่องเชื้อชาติเท่านั้น ตัวละครนี้มีสติปัญญาในระดับอัจฉริยะ เขาเป็นเจ้าของบริษัท Holt Industries บริษัทด้านเทคโนโลยีที่มีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ และเขายังเป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยีที่เรียกว่า T-Spheres ซึ่งเป็นทรงกลมลอยได้ที่มีความสามารถหลากหลาย ใช้เป็นอาวุธพุ่งโจมตีได้ ทำให้เขาล่องหนได้ พาเขาบินได้ และสามารถสร้างเกราะป้องกันจากเทคโนโลยีต่างๆ จนไม่สามารถถูกตรวจจับได้ หรือใช้สร้างภาพโฮโลแกรมก็ได้ เรียกได้ว่าเป็นเทคโนโลยีอเนกประสงค์มากๆ ลองนึกภาพ Iron Man ในจักรวาล DC ดู ไมเคิล ฮอลท์ ตามที่เขาบรรยายตัวเอง คือคนที่มีพรสวรรค์ในเรื่องของพรสวรรค์ หมายถึงเขาเรียนรู้ได้เร็วมาก และเขาก็รักในการเรียนรู้ เขาพูดได้หลายภาษา เป็นทั้งโพลีกลอทและโพลีแมธหรือคนที่รู้รอบในหลายศาสตร์ คนๆ นี้น่าทึ่งมาก แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มีความลึกซึ้งในด้านอารมณ์ เขาเคยสูญเสียภรรยาไปในอุบัติเหตุ และต้องแบกรับความเจ็บปวดนั้นไว้ เขาไม่ได้สมบูรณ์แบบ เขาเป็นมนุษย์ที่มีข้อบกพร่อง และยังต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยเทพเจ้าและสัตว์ประหลาด เพราะแบบนี้แหละ ผมถึงคิดว่า ตัวละครนี้คือส่วนผสมลับที่พิเศษในสมการของจักรวาล DCU
เล่าให้ฟังหน่อยเกี่ยวกับการร่วมมือของมิสเตอร์ เทอร์ริฟิค ในทีมจัสติสแก๊งค์ว่าเป็นอย่างไร
จัสติสแก๊งค์แตกต่างจากทีมซูเปอร์ฮีโร่อื่นๆ เพราะเป็นทีมที่มีสมาชิกเพียงสามคนเท่านั้น ไม่ใช่ทีมใหญ่แบบทั่ว ๆ ไป และพวกเขายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เรียกได้ว่ายังดิบๆ อยู่หน่อย ดูไม่ค่อยเป็นระบบระเบียบ ไม่มีผู้นำที่ชัดเจน ถึงแม้ว่า กาย การ์ดเนอร์ จะชอบคิดว่าตัวเองเป็นหัวหน้า แต่ก็ไม่แน่ใจว่าใครให้ความเคารพเขาจริงจังหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม พวกเขาทำงานร่วมกันได้ดี เพราะจุดแข็งของแต่ละคนเสริมกันอย่างลงตัว กาย การ์ดเนอร์ มีแหวนพลังที่สามารถทำอะไรก็ได้, ฮอว์กเกิร์ลบินได้และก็ไม่ลังเลที่จะฆ่าศัตรูได้ ส่วนมิสเตอร์ เทอร์ริฟิคก็เป็นสมองของปฏิบัติการนี้
ในฐานะซูเปอร์ฮีโร่ทุกคนจะบอกคุณได้ ชุดคือกุญแจสำคัญ เล่าให้ฟังหน่อยว่า จูเดียนนา มาโควสกี้ ทำอะไรกับชุดซูเปอร์ในภาพยนตร์เรื่องนี้บ้าง
จูเดียนนา (มาโควสกี้) คือหนึ่งในสุดยอดของสายงานนี้ ทุกคนรู้ดีว่าเธอเคยออกแบบชุดซูเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา และพวกเราก็โชคดีมากที่ได้เธอมาร่วมทีม ในตอนแรกของการลองชุด ผมยังไม่ค่อย “อิน” กับมันเท่าไหร่ รู้สึกว่าชุดมันไม่เท่ ไม่ได้รู้สึกว่ามันคือชุดของฮีโร่ แต่ทุกครั้งที่กลับไปลองใหม่ มันก็มีอะไรบางอย่างพัฒนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มเปลี่ยนความคิดของผมไป จนกระทั่งวันที่เราเอาทุกอย่างมารวมกัน ทั้งหน้ากากทีมและชุดเต็มตัว ตอนนั้นแหละ ผมรู้สึกบางอย่างแบบท่วมท้นขึ้นมาเลย รู้สึกว่าเราช่วยโลกได้ มันดูเท่มาก แบบซูเปอร์ฮีโร่ของจริง เธอทำออกมาได้สุดยอดเกินคำบรรยาย ผมรู้สึกโคตรเจ๋งในชุดนั้น และผมคิดว่าลุคนี้น่าจะสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ อยากแต่งเป็นมิสเตอร์ เทอร์ริฟิคในวันฮาโลวีนแน่นอน
คุณเตรียมร่างกายหรับบทซูเปอร์ฮีโร่ยังไง?
ผมถือโอกาสนี้เปลี่ยนแปลงนิสัยและสไตล์ชีวิตของตัวเอง แล้วก็พยายามไปให้สุดในเรื่องความแข็งแรงทางกาย ตัวละครของผมเป็นนักกีฬาระดับโอลิมปิก ผมเลยคิดว่าสำคัญที่จะต้องดูเหมือนคนที่มีความฟิตและแข็งแรงบ้าง ผมฝึกซ้อมเป็นเวลา 6 เดือนกับ เปาโล มาสซิตติ และ แก็บบี้ เด ฟาเรียก็ฝึกด้วยกัน เราฝึกกันอย่างหนัก 6 วันต่อสัปดาห์ บางวัน 2 ถึง 2 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน ซึ่งไม่ง่ายเลย แต่ก็คุ้มค่ามาก
คุณได้ร่วมงานกับ ราเชล บรอสนาแฮน ในบทลูอิส เลน ค่อนข้างเยอะ คุณคิดยังไงกับเวอร์ชันของเธอในบทนี้?
ผมคิดว่า เจมส์ กันน์ เขียนบทของ ลูอิส ให้เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอเป็นนักข่าวที่มีความสามารถเต็มร้อยจริงๆ และเธอทำงานนี้อย่างจริงจัง มีความฉลาดสูง และในแง่ของสติปัญญา เธอเทียบเท่าหรืออาจเหนือกว่า ซูเปอร์แมนด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาหลงใหลในตัวเธอ ส่วน ราเชล บรอสนาแฮน นั้นมีฝีมือการแสดงที่ยอดเยี่ยม เธอเล่นบทนี้ได้อย่างสมจริงและมีเสน่ห์พิเศษมาก
ทำไมผู้ชมถึงควรตื่นเต้นกับเวอร์ชัน ซูเปอร์แมน ของ เจมส์ กันน์?
นี่คือหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่สนุกมาก เป็นความบันเทิงเต็มรูปแบบ ตอนที่ผมอ่านบทไปครึ่งเรื่อง ผมไม่อยากให้มันจบเลย ผมอยากอ่านต่อไปเรื่อย ๆ พอดูอีกที บทมีแค่ 119 หน้าเอง ผมอยากให้มันยาวถึง 300 หน้าเลย มันสนุกมาก เจมส์ สร้างหนังที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกดี รู้สึกมีแรงบันดาลใจ เป็นหนังที่ยึดมั่นในความแข็งแกร่ง ความจริง และความยุติธรรม และเขายังใส่ตัวละครอื่นๆ เข้าไปเป็นส่วนผสมลับในหนังนี้ ซึ่งผมคิดว่ามิสเตอร์ เทอร์ริฟิคก็เป็นส่วนผสมลับเล็กๆ นั้น ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้สวมบทบาทนี้ และ เจมส์ กันน์ จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน ผมแทบรอไม่ไหวที่จะให้ทุกคนได้เห็นสิ่งที่เราซ่อนไว้ และผมคิดว่าผู้ชมจะต้องตะลึงในช่วงสุดสัปดาห์เปิดตัวแน่ๆ เพราะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและฉากแอ็กชันเยอะมาก นี่แหละเหตุผลที่คุณไปดูหนัง คุณอยากได้รับความบันเทิงเต็มที่
อิซาเบลลา เมอร์เซด
– ฮอว์คเกิร์ล –
ซูเปอร์แมนมีความหมายกับคุณอย่างไร?
เมื่อฉันได้ยินคำว่าซูเปอร์แมน ความรู้สึกมันซับซ้อน เพราะเหมือนกับคนอื่นๆ หลายคนที่ได้ยินชื่อนี้ พวกเขานึกถึงซูเปอร์ฮีโร่ นึกถึงหนังสือการ์ตูน และนึกถึงสัญลักษณ์ของความหวัง แต่สำหรับฉัน เขายังเป็นสัญลักษณ์ของเมืองคลีฟแลนด์ด้วย เพราะฉันมาจากคลีฟแลนด์ อีกทั้งความมองโลกในแง่ดีและความหวังของเขาเป็นสิ่งที่ไม่เคยตกยุค ฉันคิดว่านี่คือเหตุผลที่ซูเปอร์แมนยืนยงข้ามกาลเวลา ข้อความที่เขาสื่อไม่เคยตาย ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็แค่ผู้ชายดีๆ หรือเอเลียนคนหนึ่งที่อยากเป็นมนุษย์เหมือนเรา และปกป้องเราไม่ให้ได้รับอันตราย มันน่ารักมากเลย เขาเหมือนเอเลียนที่รับเราเข้ามาเป็นครอบครัว และเขาก็ใจดีมากๆ
ตัวละครของคุณ ฮอว์กเกิร์ล เป็นหนึ่งในสามสมาชิกที่รวมกันเป็นเวอร์ชันหนึ่งของที่เรารู้จักในชื่อ Justice League คือ Justice Gang คุณช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม?
ฉันคิดว่านี่เป็นการตีความและวิธีการนำเสนอที่น่าสนใจมากกับ Justice Gang พวกเราทำงานให้กับบริษัท LordTech ซึ่งมีวัฒนธรรมและบรรยากาศแบบองค์กร เราถูกจ้างมาและน่าจะเซ็นสัญญาด้วยเหมือนกัน เราต้องใส่ชุดที่คล้ายๆ กัน แต่มีสีประจำตัวของแต่ละคน เพื่อสื่อถึงตัวละครดั้งเดิมบ้าง แต่มันก็ถูกทำให้ออกมาในรูปแบบที่เป็นทางการแบบองค์กร ดูแตกต่างจากที่คุณคาดคิด มันเหมือนกับว่าเรากำลังลงเวลาทำงาน นั่นคือพลังงานที่พวกเขาต้องการสื่อ มันเหมือนกับว่าการลงเวลาเพื่อไปช่วยโลก ส่วนซูเปอร์แมนน่าจะเป็นแบบฟรีแลนซ์ที่ช่วยโลกเอง เขาไม่เคยเข้าร่วมกลุ่มอย่างเป็นทางการ แต่พวกเราไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่
ฮอว์กเกิร์ลคิดยังไงเกี่ยวกับเพื่อนเมตาฮิวแมนของเธอ?
ฉันคิดว่าเธอมองว่ามิสเตอร์เทอร์ริฟิกมีความสุขมาก ที่ได้เข้าถึงสถานที่ที่สามารถสนับสนุนความทะเยอทะยานของเขาได้ในด้านการเงิน ซึ่งก็คือพวกของไฮเทคสุดๆ ของเนิร์ดๆ ฉันมั่นใจว่าเขารู้ว่าเขาไม่สามารถจ่ายเงินเพื่อสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจึงต้องช่วยโลกเพื่อจะได้มีเงินพอใช้เทคโนโลยีสุดล้ำที่เขาอยากใช้ในการต่อสู้ และเขาก็ใส่ใจจริงๆ ฉันคิดว่ากรีนแลนเทิร์นค่อนข้างหลงตัวเองอยู่หน่อยๆ ฉันมีการวินิจฉัยบางอย่างที่อยากจะวางไว้กับเขา แต่ฉันจะไม่ทำ เพราะฉันไม่ใช่นักบำบัด และเขาก็ไม่ใช่คนจริงๆ [หัวเราะ] นาธาน ฟีเลียนเป็นพรจากฟ้าและเป็นคนที่น่ารื่นรมย์เวลาทำงานด้วย แต่ตัวละครของเขานี่สิ ออกจะเป็นพวกหลงตัวเองสุด ๆ ส่วนฮอว์กเกิร์ลก็มักจะดูไม่ค่อยตื่นเต้นกับอะไรมากนัก เธอดูเบื่อกับทุกอย่าง ฉันไม่ถึงกับจะเรียกเธอว่าเป็นพวกมองโลกในแง่ร้าย แต่เธอก็ไม่ใช่คนมองโลกในแง่ดี และในบางแง่เธอก็แทบจะเป็นขั้วตรงข้ามกับซูเปอร์แมนเลยก็ว่าได้ ฉันคิดว่าเวลาที่เธอมองซูเปอร์แมน ถึงแม้ว่าเธอจะมีเจตนาดี แต่เธอก็ยากที่จะเชื่อว่าสิ่งที่ดูสมบูรณ์แบบขนาดนั้นจะมาจากความบริสุทธิ์ใจจริงๆ ฉันคิดว่าฮอว์กเกิร์ลไม่ได้ไว้ใจซูเปอร์แมนทั้งหมด แต่ฉันก็คิดว่ามันสำคัญมากที่มีตัวละครที่มองโลกแบบเยือกเย็นอย่างเธออยู่ในหนังเรื่องนี้
ตัวละครของคุณในฐานะซูเปอร์ฮีโร่เป็นแบบไหน?
เคนดรามีปัญหาภายในอยู่บ้าง ดังนั้นเธอจึงมักจะแสดงความโกรธนำมาก่อนตลอดเวลา ฉันคิดว่าเธอมีทัศนคติแบบ “เสียงคำรามของนักรบ” อยู่เสมอ—เธอจะตะโกนก่อนจะโจมตีทุกครั้ง เธอไม่ได้กลัวพอที่จะย่องเงียบหรืออะไรแบบนั้นด้วยซ้ำ เธอแค่ตะโกนออกไปว่า “ฉันอยู่นี่ และฉันอยู่ทุกที่” เพราะเธอบินได้เร็วมาก และเธอก็มีกระบองเหล็กที่ไม่ปรานีใครเลย ต่อให้เธอเผลอตวัดใส่คุณโดยไม่ได้ตั้งใจก็จบแล้ว ฉันคิดว่าเธอรู้ตัวดีถึงพลังและความแข็งแกร่งของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันต้องเรียนรู้เหมือนกัน มันแทบจะเหมือนกับการแกว่งขวานเพื่อผ่าฟืน ซึ่งเป็นแนวทางการฝึกที่ฉันใช้ และยังต้องเรียนรู้ทั้งรูปแบบและตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับการเหวี่ยงแต่ละครั้งด้วย
คุณคิดยังไงกับชุดซูเปอร์ฮีโร่ของฮอว์กเกิร์ล?
ฉันคิดว่าจูเดียนนาและทีมของเธอทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมาก มิแชล มูนก็เป็นอีกคนที่ฉันรักมาก ก่อนอื่นเลย ฉันชอบมากที่ทีมนี้เป็นผู้หญิงล้วน และสำหรับฮอว์กเกิร์ล ฉันรู้สึกว่าชุดของเธอเป็นชุดต่อสู้ที่ใช้งานได้จริงมาก ฉันคิดว่ามันมีเส้นบางๆ ระหว่างความใช้งานได้จริงกับความดูดี และพวกเขาก็ทำได้ทั้งสองอย่าง เอวของฉันถูกรัดไว้แน่นแต่ฉันก็ดูแข็งแกร่ง และรู้สึกแข็งแกร่งและปลอดภัยด้วย ฉันชอบถุงมือมาก มันเหมือนถุงมือชกมวย ส่วนหมวกกันน็อคก็เป็นอะไรที่ลงตัวมากตั้งแต่แรกเห็นเลย และพวกเขาก็ออกแบบมันได้เป๊ะตั้งแต่ประมาณครั้งที่สอง ฉันก็ชอบหมวกกันน็อคเหมือนกันมากๆ เลย
พูดถึงการได้ร่วมงานกับผู้กำกับฯ ของคุณ เจมส์ กันน์
เจมส์ กันน์เป็นผู้ใหญ่ในแบบที่สมบูรณ์แบบเลยนะ ในแง่ที่ว่าเขารับผิดชอบงานและจัดการตารางเวลาของตัวเองได้ดีมาก และยังสามารถพูดคุยกับคนอื่นด้วยความเคารพ เขาควบคุมทุกอย่างของตัวเองได้ดีจริง ๆ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังไม่สูญเสียความเป็นเด็กในตัวเลย ไม่ว่าจะเป็นความตื่นตาตื่นใจ ความสุข การแสดงออก จินตนาการ หรือความอยากรู้อยากเห็น ฉันคิดว่าเขามีความสมดุลที่ดีมาก และด้วยเหตุผลนั้น ฉันคิดว่าเขาเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทำงานกับซูเปอร์ฮีโร่ระดับตำนานแบบนี้ ฉันหมายถึงบางทีพวกคอมิกมันก็ดูไร้สาระอยู่บ้าง และเขาก็เข้าใจจุดนั้น เขานำมันมาใช้ได้อย่างกลมกลืน และเขายังเก่งมากในการทำให้คนดูรู้สึกผูกพันกับตัวละครเหล่านี้ได้ทันที ซึ่งฉันชอบสิ่งนี้มากในสไตล์ของเขา
.
แอนโธนี คาร์ริแกน
– เมตามอร์โฟ –
การได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้มีความหมายกับคุณอย่างไร?
การได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้มีความหมายกับผมมาก ก่อนอื่นเลย การที่ได้รับบทใน ซูเปอร์แมน นั้นคือความรับผิดชอบครั้งใหญ่ แต่ก็ทำยังไงจะไม่รู้สึกดีใจได้ล่ะ มันเหมือนกับว่าตัวผมตอนเด็กแปดขวบกำลังดีใจจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่พอถึงเวลาทำงานจริง ผมก็มีหน้าที่และงานที่ต้องทำ และอยากทำให้ดีที่สุด อีกส่วนหนึ่งที่รู้สึกแปลกคือ ทุกครั้งที่เริ่มงานใหม่เหมือนเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ผมไม่รู้เลยว่างานนี้จะออกมาเป็นยังไง ไม่รู้ว่าตัวละครนี้อยู่ในตัวผมยังไง หมายความว่าผมอ่านบทมาแล้วและเห็นภาพตัวละครในบท แต่การเดินทางตั้งแต่ตอนที่ได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าผมได้งาน ไปจนถึงวันแรกที่ไปถ่ายและพูดประโยคแรก มันเป็นการเดินทางที่ใหญ่และแตกต่างกันทุกครั้ง ซึ่งนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้มันน่าตื่นเต้น
เมตามอร์โฟ คือใคร และอะไรที่ทำให้เขาแตกต่าง?
เมตามอร์โฟหรือที่รู้จักในชื่อ เร็กซ์ เมสัน เป็นตัวละครที่ลึกลับมาก เขาคือความลับ และแม้แต่ในบทก็มีหลายอย่างที่ปล่อยให้จินตนาการเอง ผมคิดว่าเขาเป็นตัวละครที่ถูกเข้าใจผิดมาก เขาได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงร่างกาย ซึ่งแต่ละส่วนของเขาคือธาตุที่แตกต่างกัน จึงถูกเรียกอีกชื่อว่ามนุษย์ธาตุ พลังของเขาคือการควบคุมธาตุเหล่านั้นเพื่อเปลี่ยนร่างกายให้เป็นอะไรก็ได้ที่เขาต้องการ ซึ่งมันก็เป็นทั้งพรและคำสาปในเวลาเดียวกัน ผมคิดว่าเขามองว่ามันเป็นคำสาปมากกว่า เขาไม่ชอบรูปลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดี เพราะตอนโตมากับโรคผมร่วงแบบออโลเพเซียผมก็เคยอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเหมือนกัน และมันส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเองอย่างมาก รวมถึงวิธีที่ผมใช้ชีวิตและเดินผ่านโลกใบนี้ด้วย ดังนั้น นั่นจึงเป็นแง่มุมหนึ่งของตัวละครนี้ที่ผมรู้สึกว่าเชื่อมโยงได้จริงๆ แต่หลังจากนั้น เมื่อผมยอมรับมันได้ มันก็กลายเป็นเหมือนพลังวิเศษของผมไปเลย คือรูปลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครและเป็นเอกลักษณ์ของผมเอง เราจะได้เห็นพัฒนาการของตัวละครนี้ ซึ่งน่าสนใจและทรงพลังมาก แต่ก็ยังซ่อนความอ่อนโยนไว้ลึกๆ เจมส์ชอบนำตัวละครที่มีความลึกซึ้งและอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้เข้ามาในหนัง เพราะเขาชอบค้นหามนุษยธรรมในตัวละคร มันเป็นโอกาสพิเศษมากที่จะได้สร้างชีวิตให้กับตัวละครที่ไม่เคยถูกนำเสนอในหนังมาก่อน ในขณะเดียวกันมันก็มีความรับผิดชอบ เพราะแฟนๆ ที่รู้จักเมตามอร์โฟรักเขามาก เขาคือหนึ่งในตัวละครโปรดของกลุ่มแฟนคลับเลยทีเดียว ดังนั้นก็มีแรงกดดันอยู่บ้าง แต่ผมก็ตื่นเต้นเพราะเราจะได้ทำอะไรที่สนุกกับตัวละครนี้
เมตามอร์โฟมีรูปลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครในโลกซูเปอร์ฮีโร่ คุณจะอธิบายเขายังไง?
มันเจ๋งมากเลย ผมหมายถึงมันเท่มากที่เราได้เห็นว่าตัวละครนี้ถูกเคารพจากต้นฉบับด้วยชุดแบบนี้ ผมคิดว่ามันจะทำให้ทุกคนตื่นตาตื่นใจ ความใส่ใจในรายละเอียดอย่างอเมทิสต์ที่ข้างหนึ่ง น้ำแข็งที่ขาอีกข้างหนึ่ง และลำต้นไม้ที่ขาอีกข้าง มันสวยงามและเท่มากในแง่ของภาพ และสิ่งที่ตัวละครนี้ทำได้ รวมถึงภาพลักษณ์ที่น่าประทับใจ มันจะทำให้ผู้ชมตะลึงแน่นอน ผมตื่นเต้นมากกับเรื่องนี้
ทำไมตอนนี้ถึงเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับภาพยนตร์ซูเปอร์แมน?
ผมคิดว่านี่เป็นเวลาที่สำคัญมากสำหรับหนังแบบนี้ที่จะออกมา ผมคิดว่านี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งที่เราควรมองหาต้นแบบที่เป็นบวกและมองโลกในแง่ดีจริงๆ ซึ่งพยายามทำสิ่งที่ดี เพราะท้ายที่สุดแล้ว สิ่งสำคัญคือการมองหาความสว่าง ความดี และความหวัง ผมคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นตัวแทนของสิ่งเหล่านั้น และมันมีความสำคัญมาก
มาเรีย กาเบรียลา เด ฟาเรีย
– ดิ เอนจิเนียร์/แองเจลา สไปกา –
คุณคิดยังไงกับบทซูเปอร์แมนของเจมส์ กันน์ตอนที่คุณอ่านครั้งแรก?
ตอนที่ฉันอ่านบทครั้งแรก ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่ากำลังอ่านบทนี้อยู่ และยิ่งอ่านไปเรื่อยๆ ฉันก็ยิ่งทึ่งกับเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมนี้ ฉันมีความคาดหวังสูงเพราะเจมส์เป็นนักเขียนที่น่าทึ่งมาก ฉันชื่นชมเขามากจริงๆ และฉันชอบทุกสิ่งที่เขาเขียน อีกอย่างก็คือ มันคือซูเปอร์แมน เรื่องนี้มีความหมายกับคนทั่วโลก ฉันจึงอยากรู้จริงๆ ว่าเขาจะสร้างอะไรขึ้นมา และอย่างตรงไปตรงมา มันมากกว่าที่ฉันคาดหวังไว้ มันทั้งตลก ทั้งลึกซึ้ง และเต็มไปด้วยความรู้สึกจริงใจ ตอนที่อ่านไป ฉันก็คิดในใจเลยว่าขอให้ฉันได้งานนี้เถอะ เพราะฉันอยากช่วยนำเรื่องนี้มาสู่ชีวิต ฉันอ่านมันหลายครั้งหลังจากนั้น และมันก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ
ใครคือดิ เอนจิเนียร์?
เริ่มจากรูปลักษณ์ภายนอกก่อนดิ เอนจิเนียร์ชื่อแองเจลา สปิกา และเธอดูแข็งแกร่งมาก ลูอันดรา ผู้แต่งหน้าให้ฉัน ใช้โทนสีเย็นทำให้เธอดูเข้มแข็ง แม้แต่ผม แมกโนเลีย (โลเว่) ช่างทำผมก็น่าทึ่งมาก ทำผมถักเปียยาวมาก ทั้งหมดเน้นที่ความสบายและทำให้เธอสะดวกเวลาสู้และทำทุกอย่างที่เธอทำ ดังนั้นเมื่อคุณเห็นเธอ ทั้งผมและการแต่งหน้า คุณจะรู้ทันทีว่าเธอไม่ได้มาเล่น ๆ ไม่ได้มาทำเพื่อนกับใคร และเธอเป็นอดีตหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เป็นผู้หญิงทหารที่แข็งแกร่งก่อนจะกลายเป็นดิ เอนจิเนียร์ เธอเป็นนักสู้ที่เก่งกว่าคน 99% แล้ว และเมื่อเธอกลายเป็นดิ เอนจิเนียร์ได้พลัง เธอกลายเป็นเครื่องจักร เธอแทบจะทำลายไม่ได้เลย เลือดของเธอประกอบด้วยนาไนต์ และเธอสามารถเปลี่ยนร่างเป็นอะไรก็ได้ตามจินตนาการ ไม่ใช่แค่ตัวเอง แต่ยังสร้างอาวุธหรือเครื่องจักรซับซ้อนนอกตัวเองได้ด้วย เธอสามารถสร้างโคลนของตัวเองได้ด้วย ซึ่งเท่มาก นั่นคือรูปลักษณ์ภายนอก ส่วนภายใน ผมคิดว่าเธอผ่านอดีตที่ยากลำบากมากจนทำให้เธอเชื่อว่าโลกนี้พังทลายและต้องได้รับการแก้ไข ไม่ว่าจะเกิดผลลัพธ์อย่างไร ไม่ว่าจะมีคนเจ็บปวดมากแค่ไหน และไม่ว่าจะต้องทำอะไรก็ตาม
ตัวละครของคุณมีความสัมพันธ์กับเล็กซ์ ลูเธอร์ยังไง?
เล็กซ์เป็นหัวหน้าของดิ เอนจิเนียร์ เขาเป็นหนึ่งในมนุษย์ที่ทรงพลังที่สุดบนโลก และเขาอัจฉริยะมาก เป็นอัจฉริยะที่รักในวิทยาศาสตร์และความรู้ลึกซึ้ง เขามีความสามารถสร้างเทคโนโลยีบ้าคลั่งที่อาจช่วยโลกได้ และผมคิดว่าคนส่วนใหญ่เลือกที่จะเชื่อว่าเล็กซ์จะพาโลกก้าวหน้า และช่วยพัฒนาเรา แต่แน่นอน เราจะได้รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนดีเสมอไป เล็กซ์กับดิ เอนจิเนียร์มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน เพราะเล็กซ์เป็นคนสร้างเธอขึ้นมา ดังนั้นในชีวิตของเธอช่วงนี้ เธอเป็นหนี้พลังของเธอแก่เขา เล็กซ์ไม่ใช่คนง่ายๆ เขาอันตรายจริงๆ แต่แองเจลาก็ทรงพลังมากเช่นกัน ดังนั้น ผมรู้สึกว่า ระหว่างเล็กซ์กับแองเจลา เล็กซ์ก็ไม่ได้กวนใจแองเจลามากนัก [หัวเราะ] เขาชัดเจนว่าเป็นหัวหน้าเธอ แต่ผมรู้สึกว่าพวกเขาเข้าใจกันดี ผมรู้สึกว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่เกินกว่างานไปอีก และผมบอกเจมส์ว่า ผมคิดว่าพวกเขามีความสัมพันธ์แบบนอกงาน แม้จะมีอีฟที่เป็นแฟนอย่างเป็นทางการ แต่ผมคิดว่าเล็กซ์กับแองจี้ก็มีความสนุกของตัวเอง นี่คือวิธีที่ผมเข้าหาฉากที่เล่นกับนิคว่าพวกเขามีการเชื่อมโยง และความสนิทสนม ซึ่งเกิดจากความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ทั้งคู่มี และทั้งคู่ก็ชอบใจ แองเจลาเป็นตัวละครเดียวที่ทำงานกับเล็กซ์ที่กล้าด่าหรือยกเสียงใส่เขา โดยไม่กลัวว่าเขาจะไล่เธอ หรือทำร้ายอะไรเธอได้ ผมรู้สึกว่าเธอคิดว่าพวกเขาเท่าเทียมกัน แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะพวกเขามีมุมมองโลก และเป้าหมายที่ต่างกันมาก สำหรับผม แองเจลาเป็นคนดีจริงๆ ส่วนเล็กซ์ไม่ใช่
นี่เป็นบทบาทที่ต้องใช้ร่างกายมาก คุณเตรียมตัวอย่างไร?
ผมเข้ามาทำงานนี้โดยที่ยังไม่มีประสบการณ์เรื่องกิจกรรมทางกายเลย ตอนที่อ่านบทและเห็นสิ่งที่แองเจลาต้องทำ และตอนที่อ่านคอมิกส์แล้วเห็นเธอจริงๆ ผมรู้สึกกลัวมาก! ผมเริ่มออกกำลังกายกับเทรนเนอร์ส่วนตัวของเรา เปาโล มัสซิตติ เขาเก่งมาก แต่ในเซสชันแรกสุด ผมกลับไปที่รถคิดว่าผมคงทำไม่ได้ เพราะผมต้องดูในแบบหนึ่ง ไม่ใช่เพราะใครขอให้ผมดูแบบนั้น แต่เพราะผมในฐานะนักแสดงรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงร่างกายเป็นส่วนสำคัญของงานนี้ และผมอยากให้เกียรติรูปลักษณ์ของดิ เอนจิเนียร์ในการ์ตูน ผมเลยทำงานหนักมาก ออกกำลังกาย 6 วันต่อสัปดาห์ วันละ 3 ชั่วโมง เป็นเวลาหลายเดือน ใน 3 เดือนแรก ผมไม่เห็นพัฒนาการอะไรเลย แต่พอถึงเดือนที่ 4 ผมรู้สึกว่าโอเค ผมเริ่มรับน้ำหนักตัวเองได้ดีขึ้น เคลื่อนไหวดีขึ้น มีความรู้สึกตัวมากขึ้น แล้วช่วงนั้นผมก็เริ่มซ้อมกับทีมสตันท์ และมันเยี่ยมมาก ทีมสตันท์พวกเขาอยู่ในใจผมตลอดไป ผมอยู่กับพวกเขาเกือบทุกวันเพราะตัวละครของผมต้องต่อสู้เยอะ บินเยอะ เตะมันเยอะ… เธอสุดยอดมาก และพวกเขาช่วยเหลือดีมาก พวกเขาทำให้แน่ใจว่าคุณเรียนรู้ทุกอย่างอย่างสมบูรณ์แบบ และดูดีบนกล้อง พร้อมให้ความมั่นใจ พวกเขาจะบอกเมื่อคุณทำได้ดีมาก และก็ซื่อสัตย์เมื่อมีบางอย่างไม่เวิร์ก และต้องแก้ไข ช่วงแรกผมกลัวความสูงมากจนแทบควบคุมไม่ได้ แต่ไม่บอกใคร มีแค่สตันท์ดับเบิลเท่านั้นที่รู้ แต่ผมเก่งขึ้นจนทำอะไรได้หมด กับทีมสตันท์นี่เป็นกระบวนการต่อเนื่อง เราซ้อมท่าทางต่างๆ ตั้งแต่ท่ายืนที่ต้องเก็บหางให้ดูทรงพลัง ความรู้สึกตัวของร่างกาย แล้วก็เข้าฝึกซ้อมการต่อสู้และการใช้ลวดช่วย ซึ่งสนุกและท้าทายมาก การทำงานกับทีมสตันท์ทำให้ผมเปิดใจว่าทีมสตันท์สำคัญแค่ไหน คนดูอาจจะไม่เห็นพวกเขา แต่สำหรับผมในหนังเรื่องนี้ พวกเขาคือทุกอย่าง ผมรักพวกเขามาก
ดิ เอนจิเนียร์มีภาพลักษณ์ที่เท่มาก ช่วยเล่าถึงเครื่องแต่งกายของคุณให้ฟังหน่อยได้มั้ย?
ชุดของแองจี้ดูสวยมาก เป็นหนังพิมพ์ 3 มิติถ้าฉันจำไม่ผิด มันแทบจะให้ความรู้สึกเหมือนคุณสามารถมองทะลุเธอ หรือเห็นเข้าไปข้างในตัวเธอได้เลย และนั่นคือไอเดียของมัน ชุดนี้ท้าทายมาก คับมาก และแข็งมาก มันไม่ใช่ผ้ายืดแบบสแปนเด็กซ์ ฉันเลยต้องสู้กับชุดอยู่บ้าง แล้วฉันก็มีสิ่งที่ต้องทำทุกครั้งก่อนจะใส่ชุด ซึ่งต้องมีคนเป็นร้อยมาช่วยกันใส่ให้ ฉันจะพูดว่า “ฉันรักเธอนะ ชุด ฉันรักเธอมาก จะต้องออกมาดีแน่ เราจะทำสิ่งนี้ด้วยกัน เธอต้องยอมฉัน มันจะต้องเวิร์ก” [หัวเราะ] แต่ฉันรู้สึกว่าในฐานะนักแสดง เราเรียนรู้ที่จะใช้ข้อเสียให้กลายเป็นข้อได้เปรียบ ดังนั้นแม้ว่าชุดจะทำให้ฉันเคลื่อนไหวได้ไม่มาก แต่มันก็กลับช่วยฉันไปในตัว เพราะฉันก็เลยไม่จำเป็นต้องขยับเยอะ ซึ่งถ้าฟังดูแล้วเข้าใจนะ มันยังช่วยให้ฉันเข้าถึงอารมณ์ของแต่ละฉากต่อสู้ด้วย เพราะฉันต้องต่อสู้กับชุดอยู่ตลอด และมันก็กลายเป็นแรงผลักดันพิเศษที่ว่า “ใช่ ฉันทำได้นี่นา!”
อะไรคือสิ่งที่คุณชอบในการทำงานกับเจมส์ กันน์?
ถึงแม้ว่าเขาจะมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนมากในหัว แต่เขาเป็นศิลปินที่เก่งมากจนเปิดรับความคิดเห็นของทุกคน เขาให้เราได้ลองเล่น เขาทำให้เรารู้สึกสบายใจ รู้สึกมั่นใจ รู้สึกมีพลัง และฉันรู้สึกว่าเขาเรียนรู้เกี่ยวกับนักแสดงแต่ละคนได้เร็วมาก เขารู้ว่าจะคุยกับใครยังไง อะไรที่ใช้ได้ผล อะไรจะดึงอารมณ์ที่เขาต้องการออกมาได้ และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันแปลกใจ มันแค่วันที่สองเอง แต่เขารู้เลยว่าต้องพูดกับฉันยังไง กับนักแสดงแต่ละคน เขามีวิธีเข้าหาที่ต่างกัน และมันเท่มาก นั่นแหละคือผู้นำที่แท้จริง และฉันก็เป็นแฟนตัวยงของเขา เขานำเอาความมหัศจรรย์มาสู่กองถ่าย ฉันคุยกับทุกคนที่เคยทำงานในกองถ่ายหนังของเจมส์ กันน์ และพวกเขาทุกคนรู้สึกเหมือนกันหมด มันคือเรื่องจริง ฉันไม่ได้พูดแค่เพราะฉันได้งานนี้ แต่มันเป็นเรื่องจริงเลย
ทำไมซูเปอร์แมนถึงคู่ควรกับการดูบนจอยักษ์?
ฉันรู้สึกว่าผู้ชมจะได้ค้นพบเหตุผลว่าทำไมเราถึงยังไปดูหนังในโรง เหตุผลที่เรารักภาพยนตร์ ประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ทางภาพและเสียงที่เราทุกคนโหยหา ฉันคิดว่าหนังเรื่องนี้จะยกระดับมาตรฐานของหนังทุกเรื่องขึ้นไปอีกขั้น นี่คือจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ของซูเปอร์ฮีโร่ เราจะได้นั่งดูในโรงหนังแบบลุ้นจนแทบนั่งไม่ติด หัวเราะ ร้องไห้ และตั้งคำถามกับที่ทางของตัวเองในโลกใบนี้ รวมถึงตั้งคำถามว่าพฤติกรรมของเรากำลังทำให้โลกนี้ดีขึ้นได้อย่างไร หนังเรื่องนี้ยอดเยี่ยมมาก และเราจะพูดถึงมันไปทั้งหน้าร้อนและทั้งปีเลยล่ะ ฉันรอไม่ไหวแล้ว!
สกายเลอร์ ไกซอนโด
– จิมมี่ โอลเซน –
ซูเปอร์แมนมีความหมายอย่างไรสำหรับคุณ?
ซูเปอร์แมนคือการเป็นตัวแทนของความเสียสละและความไม่เห็นแก่ตัว ซึ่งสำหรับฉันแล้ว มันคือสิ่งที่น่าปรารถนา และเป็นแบบอย่างของชีวิตที่ฉันอยากมี
ความประทับใจแรกของคุณที่มีต่อบทภาพยนตร์ของเจมส์ กันน์คืออะไร?
สิ่งที่สะดุดตาฉันจริงๆ ตั้งแต่แรกเลยก็คือ มันตลกมาก ก่อนอื่นเลยคือฉันหัวเราะออกมาดังๆ อยู่คนเดียวที่บ้านตอนนั่งอ่านบทหน้าคอมพิวเตอร์ และฉันคิดว่าหนังของเจมส์ทุกเรื่องลึกๆ แล้วเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน แต่โดยเฉพาะกับเรื่องนี้ ซึ่งมีอะไรให้เล่ามากมาย ต้องเริ่มต้นเรื่องราวหลายเส้นทาง และแนะนำตัวละครเยอะมาก มันง่ายมากที่บทจะเสียความลึกหรือความตลกเพื่อให้เล่าเรื่องให้ครบ แต่เขาไม่ทำแบบนั้นเลย ฉันคิดว่ามันตลกมากในแบบที่เฉียบคมและมีจังหวะที่ดี ตั้งแต่ช่วงต้นบทเลย มีฉากบทสนทนาระหว่างโลอิสกับคลาร์กยาวประมาณ 10 หน้า และพอคุณอ่านบทหนังซูเปอร์ฮีโร่ คุณก็มักจะคาดหวังว่าจะเห็นฉากต่อสู้ด้วยเลเซอร์หรือฉากแอ็กชันบ้าๆ ทุกหน้า แต่บทนี้มีทั้งสิ่งเหล่านั้น และในขณะเดียวกันก็มีความอบอุ่นของหัวใจอยู่ด้วย มันมีความเป็นมนุษย์อยู่มาก อีกอย่างคือแนวทางที่เจมส์ใช้กับตัวละครซูเปอร์แมนที่เขากำลังประสบกับวิกฤตตัวตน เป็นอะไรที่เข้าถึงง่ายมาก ความสับสนในตัวเอง และการตั้งคำถามว่าจริงๆ แล้วเราเป็นใคร มันเป็นประเด็นที่หลายคนเชื่อมโยงได้
จิมมี่ โอลเซ่นเป็นอีกหนึ่งตัวละครไอคอนิกในโลกของซูเปอร์แมน คุณจะอธิบายเขาอย่างไรในภาพยนตร์เรื่องนี้?
จิมมี่เป็นช่างภาพของเดลี่ แพลนเน็ต และเขาก็เป็นเหมือนผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งเลย วิธีที่เจมส์อธิบายให้ฉันฟังก็คือ ในจักรวาลภาพยนตร์นี้ ผู้หญิงทุกคนดูเหมือนจะหมกมุ่นกับจิมมี่อย่างไม่มีเหตุผล และไม่มีใครเข้าใจได้เลยว่าทำไม ทำไมกันล่ะ? เขาก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ทำงานของตัวเอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขารักงานข่าว และเขาใส่ใจในจรรยาบรรณของสื่อมวลชนอย่างลึกซึ้ง
ความสัมพันธ์ในการทำงานของจิมมี่กับโลอิส เลน นักข่าวจากเดลี่ แพลนเน็ตเป็นอย่างไร?
จิมมี่ทำงานใกล้ชิดกับลูอิส เลน และทั้งสองคนต่างก็ให้ความเคารพซึ่งกันและกันอย่างมาก พวกเขาทั้งคู่จริงจังกับงานของตัวเองมาก มันเกือบจะเหมือนความสัมพันธ์แบบพี่สาวกับน้องชาย มีความชื่นชมระหว่างกัน และในช่วงท้ายของหนัง เมื่อทุกอย่างเริ่มวุ่นวายสุด ๆ เราจะได้เห็นว่าทั้งสองคนก็ยังอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของเหตุการณ์นั้น ทำงานของตัวเองต่อไป ฉันคิดว่าพวกเขาทั้งคู่ผูกพันกันลึกซึ้งผ่านความรักในงานข่าว และมันเป็นสิ่งที่ทั้งสองคนแบ่งปันกันในแบบที่ยากจะสั่นคลอน
ในฐานะที่จิมมี่เป็นชาวเมืองเมโทรโพลิสที่สังเกตสิ่งรอบตัวอยู่เสมอ เขามองว่าความสัมพันธ์ของชาวเมืองกับซูเปอร์แมนในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างไร?
มันค่อนข้างตึงเครียดอยู่บ้าง ผมคิดว่าบางคนเชิดชูซูเปอร์แมนและมองเห็นว่าเขาเป็นใครจริงๆ แค่คนๆ หนึ่งที่พยายามใช้ชีวิตเพื่อรับใช้ผู้อื่น แต่สำหรับคนอื่นๆ เขากลับเป็นเหมือนศาลเตี้ยที่สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินโดยไม่จำเป็น แล้วจะต้องมีคนเจ็บอีกกี่คนล่ะ? เขากลายเป็นแหล่งของความขัดแย้งในหมู่ชาวเมือง ผมคิดว่าเขาเป็นบุคคลที่สร้างความแตกแยกได้เลย
การได้ร่วมงานกับเจมส์ กันน์ในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
ทุกอย่างที่คุณคาดหวังจากหนังซูเปอร์ฮีโร่มีอยู่ครบเลย คุณจะได้เห็นการสร้างโลกในแบบมหากาพย์ ที่มีมุมมองใหม่และเป็นต้นฉบับของตัวเอง แล้วก็ยังมีองค์ประกอบที่สนุกสนาน น่ารักอบอุ่นใจในแบบของมนุษย์ที่สอดแทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่อง และยังมีความตลกอีกมากมาย เจมส์ใส่ใจในตัวละครอย่างลึกซึ้งจริงๆ ซึ่งผมคิดว่าสิ่งนี้มันสะท้อนออกมาในหนังชัดเจน ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ แต่ในหนังทุกเรื่องของเขาเลย แต่โดยเฉพาะเรื่องนี้ เพราะเรากำลังเริ่มต้นแนะนำตัวละครหลายตัวให้คนดูรู้จักเป็นครั้งแรก เขาจัดการกับทั้งหมดนี้ในแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาเอง เข้ากับโลกของ DC ได้ลงตัว
ซาร่า แซมไปโอ
– อีฟ เทสช์มัคเกอร์ –
ความรู้สึกแรกของคุณที่มีต่อบทภาพยนตร์ Superman ของเจมส์ กันน์คืออะไร?
ไม่มีใครเข้าใจโลกของซูเปอร์ฮีโร่มากไปกว่าเขาอีกแล้ว เพราะเขาเป็นแฟนตัวจริง เจมส์ถ่ายทอดความเป็นซูเปอร์แมน และตัวตนของตัวละครทั้งหมดออกมาได้อย่างยุติธรรมสมบูรณ์แบบ และเขายังรู้ดีว่าจะใส่อารมณ์ขันเข้ามายังไง โดยไม่ทำให้ความอบอุ่นหรือความจริงใจในเรื่องหายไปเลย
ตัวละครของคุณไม่ได้มาจากต้นฉบับการ์ตูนของ DC แต่ก็มาจากแหล่งที่ได้รับการยกย่องไม่แพ้กัน ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหม?
อีฟ เทสมัคเกอร์ มาจากภาพยนตร์ของริชาร์ด ดอนเนอร์ เธอไม่ใช่ตัวละครที่มาจากคอมิกโดยตรง ดังนั้นจึงมีอิสระในการตีความตัวละครนี้เยอะมาก ซึ่งมันสนุกมากจริงๆ เจมส์ทำให้เธอดูทันสมัยขึ้นมาก เธอเป็นผู้หญิงที่มีความร่าเริง สนุกสนาน และกำลังคบกับเล็กซ์ ลูเธอร์ เธอดูเหมือนจะมีความสุขกับการได้ร่วมผจญภัยไปด้วย และดูสนุกอยู่ตลอดเวลา แต่ฉันคิดว่าเธอฉลาดกว่าที่เธอแสดงออกให้คนอื่นเห็น
อะไรคือความหมกมุ่นของเล็กซ์ ลูเธอร์ที่มีต่อซูเปอร์แมน?
ซูเปอร์แมนเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง ผู้คนรู้สึกปลอดภัยเมื่อมีเขา พวกเขามองเขาแทบจะเหมือนกับพระเจ้า ดังนั้นผมคิดว่าเล็กซ์น่าจะรู้สึกอิจฉา เขาเชื่ออย่างแท้จริงว่าซูเปอร์แมนเป็นมนุษย์ต่างดาว และเราไม่รู้แรงจูงใจที่แท้จริงของเขาเลย เล็กซ์ ลูเธอร์เองก็ชอบอำนาจ และอยากเป็นคนที่สำคัญที่สุด ผมคิดว่าการที่ซูเปอร์แมนมาจากโลกอื่น แล้วเริ่มตัดสินใจแทนโลกใบนี้ ทำให้เล็กซ์มองว่าเขามาเพื่อทำลายแผนการของเขา และอาจทำลายโลกใบนี้ด้วย
อีฟมีสไตล์ที่สนุกสนานและทันสมัยมาก ช่วยเล่าถึงการทำงานร่วมกับนักออกแบบเครื่องแต่งกาย จูเดียนนา มาโควสกี้ ในการสร้างลุคของเธอหน่อยได้ไหม?
อาจจะลำเอียงนิดหน่อย แต่ฉันคิดว่าอีฟมีชุดที่ดีที่สุดเลย อีฟเป็นตัวละครที่สนุกมากในการสร้างขึ้นมา เพราะเธอสนุกกับแฟชั่นจริงๆ เธอมีความโดดเด่น ไม่กลัวที่จะโดดเด่น ชอบสีสัน ชอบชุดสวยๆ แล้วก็แค่อยากดูน่ารักสำหรับลงในอินสตาแกรม มันสนุกมากที่ได้ร่วมงานกับจูเดียนนาและช่วยกันออกแบบอีฟ เรามีการลองชุดเยอะมาก ชุดก็เยอะมาก และสุดท้ายเลือกได้ยากมากจริงๆ แต่เพราะในหนังอีฟถ่ายเซลฟี่ตลอดเวลา เลยมีการเปลี่ยนชุดบ่อยมาก ชุดที่ฉันชอบที่สุดน่าจะเป็นชุดสกีสีลาเวนเดอร์สุดปัง พร้อมหมวกขนฟูและรองเท้าบูทขนฟู ฉันถึงกับอยากเอาชุดนั้นกลับบ้านเลยเพราะมันดีมากจริงๆ อีฟมีตู้เสื้อผ้าที่น่าทึ่งมากค่ะ
คุณคิดว่าผู้ชมจะได้สัมผัสอะไรเมื่อได้ชม Superman บนจอใหญ่?
ซูเปอร์แมนก็ยังคงเป็นซูเปอร์แมนในแก่นแท้ของเขาเสมอ แต่ครั้งนี้เรื่องราวมาจากความคิดของเจมส์ กันน์ ซึ่งฉันคิดว่าไม่มีใครในตำแหน่งเดียวกับเขาที่จะเป็นแฟนพันธุ์แท้ของซูเปอร์แมนได้เท่าเขาอีกแล้ว เขาเล่าเรื่องนี้ในมุมมองที่สนุกและจริงใจมากๆ ฉันคิดว่าผู้ชมจะได้สนุกสุดๆ แน่นอน อาจจะพูดแบบลำเอียงนิดนึงนะคะ [หัวเราะ] แต่มันเป็นหนังที่ดีมาก เพราะมันเต็มไปด้วยความจริงใจ และความรักที่ทุกคนทุ่มเทลงไปในหนังเรื่องนี้จริงๆ และฉันก็หวังว่าทุกคนจะรักมันเหมือนกัน
ร่วมพูดคุยกับผู้ชำนาญ
เบธ มิกเคิล
– ผู้ออกแบบฉากฯ –
ความรู้สึกแรกของคุณหลังจากได้อ่านบท Superman ของเจมส์ กันน์คืออะไร?
สำหรับฉันสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดก็คือ แค่เห็นจากในบทก็รู้เลยว่าเรากำลังจะได้ทำหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่ สดใส มีความหวัง เต็มไปด้วยสีสันและแสงแดด เป็นการหลุดออกจากความหม่นมืดและหนักหน่วงที่หนังซูเปอร์ฮีโร่หลายเรื่องในช่วงหลังๆ มี และมันชัดเจนมากในทุกหน้าว่าเจมส์อยากให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่สนุก มีความสุข เต็มไปด้วยพลังบวก และยกระดับจิตใจคนดูจริงๆ
คุณกำหนดโทนสีสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างไร?
สำหรับเรื่องพาเลตต์สี จุดเริ่มต้นที่ดีมากคือผลงาน All-Star Superman ของแฟรงค์ ไควท์ลีย์ เจมส์บอกเป็นอย่างแรกเลยว่าอยากให้พวกเราไปดูซีรีส์นั้น ซึ่งออกมาในช่วงต้นยุค 2000s และมีพาเลตต์สีที่โดดเด่นมาก มันสดใส ชัดเจน ใช้สีหลักเป็นหลัก เช่น สีแดง น้ำเงิน เหลือง รวมถึงสีรองและสีตติยภูมิอย่างส้มกับเขียว แต่แทบไม่มีสีอย่างม่วง ชมพู หรือฟ้าอมเขียวเลย มันเป็นสีของซูเปอร์แมน น้ำเงิน แดง เหลือง และเสริมด้วยส้มกับเขียว นั่นคือแรงบันดาลใจสำคัญที่สุดเลย หลังจากเราเห็นชุดนั้น สิ่งแรกที่ฉันทำคือแคปหน้าจอจากทั้งซีรีส์ แล้วก็ตัดเอาฉากและเฟรมต่างๆ มารวมกันเพื่อทำเป็นหน้าเพจพาเลตต์สี เพื่อให้เห็นภาพรวมว่าทั้งหมดมารวมกันอย่างไรตามที่แฟรงค์ ไควท์ลีย์ใช้ และเรายังดูภาพวาดของเอ็ดเวิร์ด ฮอปเปอร์ด้วย เพื่อช่วยเสริมโทนแสงและอารมณ์ให้กับหนังอีกทางหนึ่ง
คุณออกแบบเมโทรโพลิสเวอร์ชันของคุณสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างไร?
ตั้งแต่แรกเลย ทั้งฉันและจูเดียนนาต่างก็คิดว่าเมโทรโพลิส ควรจะให้ความรู้สึกเหนือกาลเวลา มีความหวนให้นึกถึงอดีต เต็มไปด้วยกลิ่นอายแบบอเมริกัน และสามารถเข้าถึงได้กับผู้ชมทุกเจเนอเรชัน เป็นเมืองที่สวยงาม เปี่ยมด้วยความหวัง และเหมือนเมืองในอุดมคติ จากนั้นเราทั้งคู่ก็โทรหาเจมส์ แล้วบอกเขาว่าเราคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดี ไม่ใช่แค่จะทำหนังที่เซตไว้ในปี 2025 แล้วทำให้มันดูเหมือนนิวยอร์ก แต่เราควรสร้างเมโทรโพลิสให้โดดเด่นเหมือนหลุดออกมาจากหน้าหนังสือ มีความเป็นเอกลักษณ์ และความเหนือกาลเวลา ซึ่งเจมส์ก็เห็นด้วย
คุณออกแบบสำนักงานของ เดลี่ แพลนเน็ต อย่างไร?
เราได้ผ่านกระบวนการที่น่าสนใจกับ เดลี่ แพลนเน็ต มาก ตอนแรกเราวางแผนจะสร้างฉากขึ้นมาเอง และใช้เวลาประมาณสามเดือนครึ่งในการร่างแบบและทำแบบก่อสร้างจริงๆ ขณะที่อยู่ในช่วงวางงบประมาณ ซึ่งมักจะเป็นช่วงเริ่มต้นของโปรเจกต์ ฉันรู้สึกแน่วแน่ว่ามันควรจะเป็นสองชั้น เพื่อที่จะไม่รู้สึกว่าเพดานต่ำ และทำให้รู้สึกว่ากว้างขวาง เหมือนกับสำนักงานของ นิวยอร์ก ไทมส์ ที่ควรจะมองเห็นได้หลายชั้นทั้งบนและล่าง
ฉันอยากให้มีชั้นลอย อยู่ในนั้น ซึ่งช่วยเพิ่มความสูงให้กับสถานที่ เจมส์เองก็อยากได้ความยาวของฉากมากๆ เพราะครั้งแรกที่เราเห็นคือคลาร์กออกมาจากลิฟต์ และเขากำลังคุยโทรศัพท์กับแม่กับพ่อ พร้อมกับคุยกับสตีฟตลอดทาง ฉันกับทีมเลยไปเทปพื้นที่บนสเตจยาวประมาณ 150 ฟุต แล้วจำลองการเดินพูดโทรศัพท์จริงๆ ว่าใช้เวลานานแค่ไหนถ้าเดินอย่างต่อเนื่อง เราไม่สามารถทำให้พื้นที่นี้เล็กลงได้อีก แต่เราไม่ได้ถ่ายทำที่นี่หลายวันพอจะคุ้มค่ากับค่าใช้จ่าย จึงตัดสินใจไปดูโลเคชันจริง
เอียน อีสเตอร์บรูค ผู้จัดการโลเคชันของเราทำงานได้ยอดเยี่ยมมาก เราอยากให้สถานที่ดูเก่า แต่แอตแลนต้าไม่มีสถาปัตยกรรมคลาสสิกแบบเก่าๆ เขาจึงไปที่เมือง เมคอน ที่มีสถานีรถไฟเก่าแก่ที่สวยงามมาก มีความยาวประมาณ 250 ฟุตจากหน้าไปหลัง มีชั้นลอยที่งดงาม และเมื่อลิฟต์เปิดออกก็เป็นรูปตัวที ซึ่งฉันคิดว่านั่นคือที่ตั้งของโลกของ เดลี่ แพลนเน็ต และมีเคาน์เตอร์ต้อนรับรูปวงกลมล้อมรอบ ทำให้มีพื้นที่วงกลมใหญ่สำหรับทุกคนเดินและหมุนเวียนได้ และคลาร์ก ก็เดินซิกแซกไปยังที่ทำงานของเขา สถานที่นี้ไม่ใช่สไตล์อาร์ตเดโคที่เป็นเอกลักษณ์ของ เดลี่ แพลนเน็ต แบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ฉันรู้สึกว่าเราต้องสละไป แต่ก็มีวัสดุที่สวยงามเป็นหิน ดูเหมือนว่าที่นี่มีมาตั้งแต่ต้นยุคสมัยแล้ว
จากนั้นเราก็มาตกลงเรื่องพาเลตต์สี ซึ่งเราอยากให้ใช้สีฟักทอง ทอง และเขียว ฉันเลยร่วมงานกับ โรสแมรี บรันเดนบูร์ก นักตกแต่งฉากที่ยอดเยี่ยมของเรา เธอเลือกสีฟักทองที่สวยมาก แล้วเราก็ใช้สีนี้กับทุกอย่าง ทั้งโคมไฟ โต๊ะ และตู้เก็บเอกสาร โชคดีที่พื้นที่กว้างใหญ่มาก จึงไม่รู้สึกว่าการใช้สีฟักทองจะเยอะเกินไป แต่มันเป็นสีที่แต่งแต้มอยู่ทั่วทั้งสถานที่อย่างลงตัว
พูดถึงการออกแบบสถานที่สำคัญอีกแห่งของซูเปอร์แมน คือ ป้อมปราการแห่งความโดดเดี่ยวอย่างไร?
ป้อมปราการแห่งความโดดเดี่ยวเป็นเหมือนห้องลับของซูเปอร์แมน อย่างที่เจมส์เคยบอกไว้ 1-2 ครั้ง อ้างอิงจากคอมิกส์ยุคเงิน มันควรจะเป็นสถานที่ที่ให้แรงบันดาลใจและเป็นที่ที่เขาทำงาน เป็นที่ที่เขาสนใจในทางปัญญา มีห้องทดลองของเขา และในหนังสือการ์ตูน เขามีสวนสัตว์ที่รวบรวมเอาตัวประหลาดจากต่างดาวที่เขาเก็บมาจากทั่วจักรวาล
เราต้องการให้เห็นว่านี่คือฐานปฏิบัติการหลักของเขา เจมส์เคยบอกว่าตอนแรกเขาคิดว่าจะใช้เวอร์ชันจากภาพยนตร์ของริชาร์ด ดอนเนอร์ เพราะเขารู้สึกว่านั่นคือสิ่งที่ผู้ชมคุ้นเคยและรู้จักดี แต่ฉันรู้สึกว่าเรามีโอกาสที่จะสร้างอะไรใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ยังคงเคารพและเป็นเกียรติแก่ต้นฉบับ
เราจึงศึกษาวิธีที่คริสตัลเติบโตและแผ่ออกมาจากหิน ซึ่งมักเกิดขึ้นในห้องทดลองหรือในธรรมชาติ จากนั้นฉันเริ่มดูว่าการที่น้ำกระทบกับหินหรือหน้าผาหิน มันสร้างแรงกระแทกใหญ่และดูเหมือนพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า มีความรู้สึกเหมือนเร่งความเร็ว ฉันคิดว่าเราสามารถทำสิ่งที่เป็นรูปปั้น รูปทรงใหญ่ และโดดเด่นบนภูมิทัศน์นี้ได้
ฉันมีภาพถ่ายที่สวยงามจากยุค 1950 หรือ 1960 ของคลื่นใหญ่ที่กระทบกับหินและพุ่งสูงขึ้นไป 50 ฟุต เหนือชายคนหนึ่งในภาพที่ตัวเล็กเหมือนไรเดื้อน ฉันตัดภาพชายคนนั้นออก แล้ววางคลื่นนั้นไว้บนพื้นหิมะราบเรียบ ฉันคิดว่านั่นเป็นภาพที่สวยงาม เรียบง่าย และน่าประทับใจ
ฉันทำแบบคริสตัลประมาณ 45-50 แบบเพื่อดูว่าคริสตัลจะรวมกันอย่างไร แต่แบบแรกที่ฉันนำเสนอต่อเจมส์หลังจากที่เราได้ปรับแต่งคริสตัลแล้ว เขาก็ตอบทันทีว่านั่นแหละคือป้อมปราการของเรา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก จนเรามีคริสตัลทั้งหมด 232 ชิ้น และมีช่างฝีมือมากกว่าร้อยคนร่วมงานกัน ผลงานออกมาสวยงามอย่างเหลือเชื่อ เรื่องสนุกคือ เราซื้อเรซิ่นทั้งหมดในฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ มาใช้ทำคริสตัลรูปพระจันทร์เสี้ยวนี้ เพื่อทำพื้นน้ำแข็ง เราต้องการเรซิ่นอีกประมาณ 11 ถัง แต่กลับหามาไม่ได้ จึงต้องเปลี่ยนไปใช้วัสดุอื่นแทนในการทำพื้นน้ำแข็ง
การสร้างฉากนี้ ป้อมปราการแห่งความโดดเดี่ยว มีความหมายกับคุณในฐานะดีไซเนอร์อย่างไร?
นี่ถือเป็นไฮไลต์ในอาชีพของฉันเลยนะ ฉันและทีมงานไม่เคยลืมเลยว่าการได้มีโอกาสสร้างสรรค์และออกแบบฉากที่มีความสำคัญและเป็นสัญลักษณ์ที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์มานานถึง 50 ปี ถือเป็นเกียรติยิ่งใหญ่ในชีวิต และนี่คือความท้าทายที่ตื่นเต้นที่สุด เป็นโอกาสที่ทำให้หัวใจเต้นแรงมากที่สุด
แน่นอนว่ามันมาพร้อมกับความกดดันอย่างมาก ที่ต้องมั่นใจว่าเราจะเคารพสิ่งที่ผู้ชมอยากเห็นและสิ่งที่คนคาดหวังจากฉากนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเติมความสดใหม่เข้าไป และทำอะไรที่เรารู้สึกว่าผู้ชมยังไม่เคยเห็นมาก่อน ฉันมีหลายคืนที่นอนไม่หลับเลย แต่นี่แหละคือสิ่งที่ความฝันของคนในวงการนี้สร้างขึ้นมา
เราใช้เวลาอยู่ในอพาร์ตเมนต์ของลูอิส เลน ในหนัง คุณร่วมงานกันอย่างไรในการสร้างบรรยากาศนั้น?
เรเชลคิดเยอะมากเกี่ยวกับตัวละครของเธอ และวิธีที่ตัวละครของเธอใช้ชีวิต รวมถึงสิ่งที่สำคัญสำหรับเธอ ดังนั้นเมื่อเรามาถึงอพาร์ตเมนต์ของเธอ มันก็เป็นแบบเดียวกัน เธอนำไอเดียมากมายเกี่ยวกับวิธีที่ตัวละครของเธอจะใช้ชีวิตและดำเนินชีวิตในโลกนี้
ตอนนั้นเราก็ได้ดูแหล่งอ้างอิงจากสถานที่ของนักเขียนที่น่าทึ่งอย่าง โจน ดิเดียน และ โกลเรีย สไตเนมอยู่แล้ว ดังนั้นเราก็เริ่มเดินไปในทิศทางนั้นเกี่ยวกับสไตล์และบรรยากาศของอพาร์ตเมนต์เธอ
เจมส์ชอบไอเดียที่ว่าที่นี่จะดูรกแบบคนที่เป็นศาสตราจารย์ และเธอไม่ได้จัดระเบียบให้เรียบร้อยมาก เรเชลเองก็มีแนวคิดแบบนี้อยู่แล้ว และเธอก็เพิ่มรายละเอียดดีๆ มากมายเข้ามา เรามีกองสมุดโน้ตมากมาย และเธอชอบความคิดที่ว่า โลอิสจะมีสมุดโน้ตวางกระจัดกระจายไปทั่ว และใช้ดินสอแท่งเดียวกันทุกเล่ม เพราะเธอเป็นคนที่ชอบความคุ้นเคย เพราะมันทำให้ชีวิตง่ายขึ้น ไม่ต้องคิดหรือตัดสินใจมากในแต่ละวัน ให้เธอโฟกัสกับงานได้มากขึ้น
ส่วนเรื่องอาหารก็เหมือนกัน เธอกินกราโนล่าบาร์แท่งเดียวเป็นอาหารหลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เธอมีแรง เธอไม่ได้กังวลเรื่องอาหาร และทุกอย่างในครัวก็แค่เอาเข้าไมโครเวฟอุ่น เธอไม่ทำอาหารกองผ้าซักผ้าก็มีอยู่เยอะ เธอพับผ้าซักในวันอาทิตย์ แต่แทบไม่เคยเก็บเข้าที่ เธอแค่หยิบใช้ตลอดสัปดาห์