The Conjuring: Last Rites เดอะ คอนเจอริ่ง คนเรียกผี พิธีกรรมครั้งสุดท้าย | 4 กันยายน 2025

0
413

The Conjuring: Last Rites
เดอะ คอนเจอริ่ง คนเรียกผี พิธีกรรมครั้งสุดท้าย
เข้าฉาย 4 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

รายละเอียดเพิ่มเติม | https://www.theconjuringlastrites-thai.com/

#TheConjuring #TheConjuringLastRites
#เดอะคอนเจอริ่ง #คนเรียกผีพิธีกรรมครั้งสุดท้าย

 

ผลงานจากนิวไลน์ ซีเนม่า สู่ผลงานที่ 9 ในจักรวาลภาพยนตร์ที่กวาดรายได้ไปแล้วมากกว่า 2 พันล้านเหรียญอย่าง Conjuring ในเรื่อง The Conjuring: Last Rites กำกับฯ โดยผู้มากประสบการณ์ในแฟรนไชส์ ไมเคิล ชาเวส และผลิตโดยผู้สร้างแฟรนไชส์ เจมส์ วาน และ ปีเตอร์ ซาฟราน

เรื่อง The Conjuring: Last Rites ถ่ายทอดความระทึกขวัญอีกตอนหนึ่งของจักรวาลภาพยนตร์เรื่อง  Conjuring ที่สร้างอิงจากเหตุการณ์จริง เวร่า ฟาร์ไมก้า และ แพทริค วิลสัน กลับมาพบกันในคดีสุดท้ายด้วยบทนักสืบเรื่องเหนือธรรมชาติในชีวิตจริงอย่างเอ็ดและลอร์เรน วอร์เร็น จากแฟรนไชส์ที่สร้างความสยองขวัญอย่างทรงพลังจนทำลายสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกมาแล้ว

ฟาร์ไมก้าและวิลสันนำแสดงคู่กับมีอา ทอมลินสัน และ เบ็น ฮาร์ดี้ ผู้รับบทลูกสาวของเอ็ดและลอร์เรนอย่างจูดี้ วอร์เร็น และแฟนหนุ่มของเธออย่างโทนี่ สเปร่า รวมถงสตีฟ โคลเตอร์ที่กลับมารับบทคุณพ่อกอร์ดอน, รีเบ็คก้า คัลเดอร์, เอลเลียต โคแวน, ไคลา ลอร์ด แคสซิดี้, โบว์ แกดส์ดอน, จอห์น บราเธอร์ตัน และ แชนนอน คุก

ชาเวสกำกับฯ จากบทของเอียน โกลด์เบิร์ก และ ริชาณ์ นาอิง และ เดวิด เลสลี่ จอห์นสัน- แม็คโกลดริค เนื้เอเรื่องโดยเดวิด เลสลี่ จอห์นสัน-แม็คโกลดริค และ เจมส์ วาน สร้างอิงจากตัวละครที่คิดขึ้นโดแชด ฮาเยส และ แครีย์ ดับบลิว. ฮาเยส อำนวยการสร้างบริหารฯ โดยไมเคิล เคลียร์, จู้ดสัน สก็อตต์, นาตาเลีย ซาฟราน, จอห์น ริกคาร์ด, ฮานส์ ริตเตอร์,เดวิด เลสลี่ จอห์นสัน-แม็คโกลดริค และ ไมเคิล ชาเวส

ชาเวสร่วมงานกับทีมเบื้องหลังโดยทีมงานฝ่ายสร้างสรรค์ของเขา ได้แก่ ผู้กำกับภาพ อีไล บอร์น ผู้ออกแบบฉาก จอห์น ฟรานคิช ผู้ลำดับภาพ เอลเลียต กรีนเบิร์ก และ กรีกอรี่ พลอตคิน ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ สก็อตต์ อีเดลสตีน ผู้สร้างวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ อีริค บรูนิว และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย กราแฮม เชิร์ชยาร์ด คัดเลือกนักแสดงโดยโณส วิคสตีด และ โซฟี คิงสตัน-สมิธ ควบคุมดนตรีโดยเอียน โบรเค้ก และแต่งเพลงโดยเบ็นจามิน วอลฟิช

นิวไลน์ ซีเนม่า นำเสนอภาพยนตร์จาก The Safran Company / An Atomic Monster Production เรื่อง The Conjuring: Last Rites ภาพยนตร์จะจัดจำหน่ายทั่วโลกโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส จะฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วไปและระบบไอแมกซ์ในอเมริกาเหนือวันที่ 5 กันยายน 2025 ต่างประเทศเริ่มวันที่ 3 กันยายน 2025

 

จากถ้อยคำผู้กำกับ ไมเคิล ชาเวส

ตั้งแต่เริ่มแรก ผม, เจมส์ วาน และ ปีเตอร์ ซาฟราน มองว่าเรื่อง The Conjuring: Last Rites ควรจะเป็นจุดจบของการเดินทางของ เอ็ด และ ลอร์เรน วอร์เรน  ตัวละครที่รับบทโดย แพทริค วิลสัน และ เวร่า ฟาร์ไมกา และคำถามที่เราต้องตอบคือ “เราจะทำให้ตอนจบนี้ทรงพลังทางอารมณ์มากที่สุดได้อย่างไร ในขณะที่ยังคงความน่ากลัวที่แฟนๆ คาดหวังไว้?” พวกเราอยากได้สิ่งที่มีน้ำหนักจริงจังมากขึ้น มีพลังทางอารมณ์มากขึ้น และเหมาะสมกับการเป็นบทสรุปของตัวละครเหล่านี้ เรารู้ตั้งแต่ต้นว่าเราอยากทำอะไรที่… ใหญ่กว่าเดิม

เรามีบทหนังที่ดีมากอยู่แล้ว แต่ผมคิดว่าสิ่งสำคัญจริง ๆ คือการหาจุดเริ่มต้นที่เหมาะสม ผมบอกว่า “ถ้าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องของการจบ เราก็ควรเริ่มจากจุดเริ่มต้น เราต้องทำให้มันรู้สึกว่าเรื่องราวมันครบวงจร” ผมเลยเสนอว่าเราควรเริ่มต้นด้วยทั้งจุดเริ่มต้นของเอ็ดกับลอร์เรน และจุดเริ่มต้นของครอบครัวพวกเขา คดีแรกๆ ที่พวกเขาเคยเข้าไปเกี่ยวข้อง และเป็นคืนที่ลูกสาวของพวกเขา จูดี้ ลืมตาดูโลก และมันเป็นคืนที่น่าสะพรึงกลัว ผมอยากให้ฉากเปิดเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ มืดมนที่สุดเท่าที่ซีรีส์นี้เคยมีมา และจากเหตุการณ์นั้น เราจะได้พลังบางอย่างที่เต็มไปด้วยอารมณ์  จุดเริ่มต้นของครอบครัวพวกเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเอ็ดและลอร์เรน แต่ขณะเดียวกัน… ก็กลายเป็นจุดอ่อนที่สุดของพวกเขาเช่นกัน ลูกสาวของพวกเขา จูดี้

นี่เป็นโอกาสที่ผู้ชมจะได้เชื่อมโยงกับครอบครัววอร์เรนในแบบที่ลึกซึ้งมากขึ้นทั้งกับพวกเขาเอง และกับจูดี้ ซึ่งเราได้เฝ้ามองการเติบโตของเธอมาโดยตลอด มันส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเนื้อเรื่องที่เหลือของภาพยนตร์ คุณจะรู้สึกอยากปกป้องเธอ ไม่อยากให้เธอต้องจากไป และนั่นแหล คือสิ่งที่วอร์เรนกำลังเผชิญอย่างหนักที่สุด

ผมรู้สึกโชคดีมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล The Conjuring มันเต็มไปด้วยอารมณ์สำหรับผมในการกล่าวคำอำลากับประสบการณ์อันยอดเยี่ยมนี้ และกับเพื่อนๆ.. อย่างเวร่า และแพทริค ที่ถือเป็นอาวุธลับของเรามาโดยตลอด พวกเขาคือหัวใจและจิตวิญญาณของภาพยนตร์เหล่านี้ และความยอดเยี่ยมของทั้งสองคน ทั้งในฐานะนักแสดงและในฐานะมนุษย์  คือสิ่งที่หล่อหลอมหนังทุกเรื่องในซีรีส์นี้ หนังเหล่านี้ได้กลายเป็น “หนังครอบครัว” ในรูปแบบที่หลายคนคาดไม่ถึง การเล่าเรื่องครอบครัวขนาดใหญ่… ที่เต็มไปด้วยความสยองขวัญระหว่างทาง

และเจมส์กับปีเตอร์ก็เป็นผู้ร่วมงานและพาร์ตเนอร์ที่ดีที่สุดในการสร้างซีรีส์นี้ขึ้นมา ผมรู้สึกขอบคุณพวกเขาทั้งสองอย่างสุดซึ้ง ที่เปิดโอกาสให้ผมได้เข้ามาอยู่ในโลกนี้ และให้การสนับสนุนผมอย่างเต็มที่มาโดยตลอด ด้วยเป้าหมายเดียวกันคือ การพยายามสร้างภาพยนตร์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนี้ ผมคิดว่า The Conjuring ภาคแรกได้เปลี่ยนชีวิตของพวกเขา และอย่างที่ผมเคยพูดไว้ มันก็เปลี่ยนชีวิตของผมด้วยเช่นกัน และมันน่าทึ่งมากจริง ๆ ที่ได้ร่วมเดินทางครั้งนี้ และได้มีส่วนร่วมในเส้นทางอันยิ่งใหญ่นี้

ไมเคิล ชาเวส

 

จากผู้อยู่เบื้องหลังจักรวาล The Conjuring: ผู้อำนวยการสร้างฯ เจมส์ วาน และ ปีเตอร์ ซาฟราน

สำหรับผม The Conjuring: Last Rites ถือเป็นจุดสิ้นสุดของยุคสมัยหนึ่งเลยก็ว่าได้ และเพราะแบบนั้น มันจึงเป็นความรู้สึกที่ทั้งสุขและเศร้าในเวลาเดียวกัน พวกเรามีช่วงเวลาที่ดีมากกับการสร้างหนังเหล่านี้ เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนเป็น “ครอบครัว” จริงๆ ทั้งเวร่าและแพทริค การได้ร่วมงานกับ New Line รวมถึงนักแสดงและทีมงานทุกคน ผมรู้สึกใจหายเล็กน้อยที่เรื่องราวนี้กำลังจะจบลง แต่เหมือนกับทุกสิ่งดี ๆ ในชีวิต… ผมคิดว่าเรากำลังจะปิดฉากในเวลาที่เหมาะสมพอดี หนังภาคนี้รู้สึกเหมือนเป็นวิธีที่ลงตัวในการปิดฉากจักรวาลนี้ อย่างน้อยก็ “สำหรับตอนนี้” จักรวาล The Conjuring ดำเนินมาเกินทศวรรษแล้ว ผมได้รู้จักผู้คนมากมาย และหลายคนก็กลายมาเป็นเพื่อนแท้ในระยะยาว

เวร่าและแพทริคคือศูนย์กลางของหนังทุกเรื่องในซีรีส์นี้ พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยม ทั้งในจอและนอกจอ พวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจริง ๆ และผมคิดว่าความสัมพันธ์นั้นมันถ่ายทอดออกมาอย่างชัดเจน ผู้ชมรู้สึกได้ว่ามัน “จริง” และมันทำให้ตัวละครของพวกเขามีความลึก มีความจริงใจ นั่นคือเหตุผลสำคัญว่าทำไมแฟน ๆ ถึงรักหนังพวกนี้มาก ผมพูดมาตลอดว่า “คนดูเข้ามาเพราะอยากกลัว… แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาอยู่ต่อ คือเวร่าและแพทริค”

เจมส์ วาน

 

เมื่อเจมส์ วานกับผมเริ่มต้นสร้าง The Conjuring ภาคแรก เป้าหมายของเราคือการสร้างหนังระทึกขวัญเหนือธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมเพียงเรื่องเดียว หนังที่ผู้ชมไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้มานานแล้ว และในการทำแบบนั้น เราหวังว่าจะได้ช่วยพา หนังแนวนี้ กลับมาอยู่ในจุดที่โดดเด่นอีกครั้ง นั่นคือเป้าหมายของเรา แม้ว่าเราจะรู้ว่า เรายังมีคดีของวอร์เรนอีกนับสิบที่สามารถนำมาเล่าได้ในอนาคต แต่เราก็ไม่ได้คิดเลยว่ามันจะกลายเป็นหนังภาคต่อ หรือเป็นจักรวาลอะไร เราแค่ตั้งใจจะทำหนังดีๆ เรื่องเดียวเท่านั้น

ดังนั้น พอผ่านมา 14 ปี แล้วได้มายืนอยู่ตรงนี้ ท่ามกลางความสำเร็จทางรายได้และคำชื่นชมมากมายที่หนังเหล่านี้ได้รับ เราก็รู้สึกภูมิใจอย่างมาก และกับหนังทุกเรื่องที่เราทำออกมา เราวัดมันด้วยคำถามเพียงข้อเดียว หนังเรื่องนี้คู่ควรกับการเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล The Conjuring หรือไม่

ผมคิดว่าความสำเร็จของจักรวาลนี้ มันยึดโยงอยู่กับครอบครัววอร์เรน และนั่นแหละคือเหตุผลที่ผู้คนยังคงติดตามดูเรื่องต่อไป คดีถัดไป การผจญภัยครั้งใหม่ หรือช่วงชีวิตอีกบทหนึ่ง เพราะพวกเขาตกหลุมรัก เอ็ด และ ลอร์เรน ที่แพทริค วิลสัน กับ เวร่า ฟาร์ไมก้า ถ่ายทอดออกมาอย่างลึกซึ้ง

ผมเชื่อว่าเมื่อถึงตอนจบของบางสิ่งที่สวยงาม เราจะรู้สึกทั้งสุขและเศร้าในเวลาเดียวกัน สำหรับผม… ผมมีความสุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มศิลปินที่น่าทึ่งกลุ่มนี้ และที่พวกเราทุกคนได้พาเรื่องราวนี้มาถึงจุดจบด้วยเสียงปรบมือ

ปีเตอร์ ซาฟราน

 

พูดคุยกับผู้กำกับ ไมเคิล ชาเวส

 

ติดตามเรื่องราวของครอบครัววอร์เรน…

ไมเคิล ชาเวส: ผมรักยุค 80 มาก ผมเกิดในยุคนั้น และ The Conjuring: Last Rites ก็เกิดขึ้นตรงกลางยุค 80 พอดีเลย มันเป็นปี 1986 และเราก็เจาะลึกบรรยากาศของช่วงเวลานั้นลงไปอย่างเต็มที่ ทั้งในแง่ของงานออกแบบ, ดนตรี, เครื่องแต่งกาย ไปจนถึงอะไรเล็ก ๆ อย่างการอ้างอิงถึง Ghostbusters มันน่าสนใจมากที่ได้เห็นครอบครัววอร์เรนในช่วงเวลานี้ของชีวิต เพราะเราร่วมเดินทางมากับตัวละครพวกนี้ เราเคยเห็นพวกเขาในยุค 60s และ 70s มาแล้ว แต่ตอนนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว และในหลายๆ ด้าน โลกก็เหมือนจะก้าวข้ามพวกเขาไปแล้ว ผมว่าความคิดนี้มันทรงพลังมาก ความคิดที่ว่า พวกเขาเกษียณแล้ว และสิ่งที่พวกเขาเคยทำ กลับกลายเป็นเรื่องตลกสำหรับคนในยุคใหม่ ผู้คนลืมไปแล้วว่าพวกเขาเคยสร้างผลกระทบอะไรไว้บ้าง ผมว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจและมีความตึงเครียดในตัว แล้วยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังต้องเผชิญกับความจริงที่ว่า ลูกสาวของพวกเขาเติบโตขึ้น และเริ่มก้าวต่อไปในชีวิตของตัวเอง พวกเขาก็เลยต้อง เรียนรู้ที่จะปล่อยเธอไปด้วย

คดีครอบครัวสเมิร์ล…

ไมเคิล ชาเวส: คดีสเมิร์ล เป็นเหตุการณ์หลอนที่เกิดขึ้นจริงในเมืองเวสต์พิตต์สตัน รัฐเพนซิลเวเนีย และมันดำเนินต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางยุค 80 ไปจนถึงยุค 90 ซึ่งวอร์เรนเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วย ครอบครัวสเมิร์ลอาศัยอยู่ในบ้านดูเพล็กซ์ โดยมีครอบครัวหลักอยู่ฝั่งหนึ่ง และพ่อแม่ของพวกเขา คือรุ่นปู่ย่าอยู่ฝั่งข้างๆ ดังนั้นในบ้านเดียวกันจึงมีถึง สามชั่วอายุคน ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นในวันที่ลูกสาวของพวกเขาทำพิธีศีลกำลัง ตอนนั้นโคมไฟตกลงมาใส่พวกเขา ดูเหมือนจะเป็นอุบัติเหตุธรรมดาๆ แต่หลังจากนั้น เหตุการณ์เหนือธรรมชาติก็ค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตลอดหลายปี จนถึงจุดที่ไม่สามารถมองข้ามได้อีกต่อไป

และในขณะที่ครอบครัวสเมิร์ลกำลังเผชิญกับเหตุการณ์หลอน ชีวิตครอบครัวเริ่มพังทลาย ครอบครัววอร์เรนเองก็อยู่ในช่วงเกษียณ พวกเขาเลิกทำงานนี้ และเหมือนอยู่ในจุดที่ปลอดภัยแล้ว แต่เราก็รู้ว่า บางอย่างกำลังเกิดขึ้นกับจูดี้ และมีความรู้สึกมืดมนบางอย่างที่คล้ายกับ “โชคชะตาเลี่ยงไม่ได้” ปกคลุมอยู่เหนือครอบครัวนี้ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจมาก ฮีโร่ของคุณวางมือแล้ว แต่ขณะเดียวกัน ก็มีความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่างแทรกอยู่ เพราะแม้ว่าภายนอกพวกเขาจะดูมีความสุข ดูเหมือนหลุดพ้นจากความน่ากลัว และไม่ต้องรับคดีอีกแล้ว  แต่เรารู้ว่า ยังไงพวกเขาก็ต้องถูกดึงกลับเข้าไปอีกครั้ง และยิ่งไปกว่านั้นคดีสุดท้ายนี้อาจเป็นสิ่งที่ทำลายพวกเขาได้อย่างสิ้นเชิง

 

เจาะลึกการค้นคว้า…

ไมเคิล ชาเวส: เวลาผมทำหนัง แล้วมันอิงจากคดีที่เกิดขึ้นจริง ผมจะลงลึกกับมันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ — ทั้งการค้นคว้าและการพูดคุยกับคนที่เกี่ยวข้องให้ได้มากที่สุด อย่างใน The Nun II ผมก็ไปค้นภาพถ่ายยุค 1950s มากมายเพื่อใช้สร้างบรรยากาศของช่วงเวลานั้น เราศึกษาบริบทของยุคสมัยอย่างละเอียด — และสำหรับ Last Rites นี้ ผมก็ได้คุย Zoom กับ 4 พี่น้องตระกูลสเมิร์ล เป็นเวลานาน ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ทรงพลังมาก

สิ่งที่น่าสนใจก็คือในระหว่างที่ผมทำหนังพวกนี้ไปเรื่อยๆ และผมก็เคยได้ยินปีเตอร์ [ซาฟราน] พูดเหมือนกัน ผมกลายเป็นคนที่เชื่อขึ้นมาแล้ว และสิ่งสำคัญที่ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดก็คือ การได้รับฟังประสบการณ์เหล่านี้จากปากของพวกเขาเอง ผมคิดว่าครอบครัวสเมิร์ลต้องผ่านอะไรที่หนักมาก มันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาอยากให้เกิด พวกเขาไม่ได้ “ขอ” ให้โดนผีหลอก และสิ่งที่แย่คือ เพื่อนบ้าน คนรอบตัว กลับหันหลังให้พวกเขา ไม่มีใครเชื่อ บางคนถึงกับคิดว่าพวกเขาเพี้ยน แล้วคุณจะเริ่มเข้าใจว่า มันหนักแค่ไหนสำหรับพวกเขา มันคงง่ายมากที่จะโกหก หรือบอกว่า “พวกเรากุเรื่องขึ้นมา” แต่ความจริงคือ มันยังคงหนักอยู่กับพวกเขาจนถึงทุกวันนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการพูดคุยกับพวกเธอ และเป็นสิ่งที่ผมเชื่อมาตลอดก็คือ วอร์เรนตัวจริงมีอิทธิพลกับชีวิตพวกเธอมากขนาดไหน มันง่ายที่จะตกหลุมรัก แพทริค กับ เวร่า ในบทเอ็ดกับลอร์เรน แต่เราต้องไม่ลืมว่า พวกเขาอิงมาจากคนจริงที่เคยไปยังสถานที่เหล่านี้จริงๆ และพยายามช่วยเหลือผู้คน ที่ไม่มีใครอื่นจะพึ่งพาได้อีกแล้ว วอร์เรนตัวจริง สร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่มากจริงๆ

 

คนรุ่นใหม่…

ไมเคิล ชาเวส: จูดี้ คือ ลูกสาวของครอบครัววอร์เรนในหนัง The Conjuring ทุกภาค และในชีวิตจริงด้วย เธอมักจะเป็นตัวละครรอง แต่ในหนังภาคนี้ เราอยากเปลี่ยนจุดโฟกัสนั้น และแสดงให้เห็นว่าลูกของพวกเขาคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขา เรายังได้เริ่มต้นสำรวจมุมมองที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดถึงมาก่อน เช่น “มันเป็นยังไงนะที่ต้องโตมาในฐานะลูกของครอบครัววอร์เรน? มันรู้สึกยังไงที่ต้องเติบโตภายใต้เงาของพ่อแม่ตัวเอง? แล้วมันเป็นยังไงที่เติบโตมาพร้อมกับพลังที่ได้รับสืบทอดมาจากแม่ของตัวเอง?” นี่คือประเด็นที่จูดี้กับลอร์เรน ต้องต่อสู้และเผชิญหน้ามาตลอด และเราก็เลือกที่จะเจาะลึกเรื่องนี้ พลังที่เธอได้รับทำให้จูดี้สามารถมองเห็นบางสิ่ง และบางครั้งสิ่งเหล่านั้นก็น่ากลัวมาก ลอร์เรนซึ่งไม่แน่ใจว่าจะช่วยเธอยังไง จึงให้คำแนะนำว่าให้ปิดกั้นมันไปก่อน ซึ่งในตอนนั้นมันดูเหมือนเป็นทางออกที่ดี แต่จริงๆ แล้วมันก็แค่การปิดบังปัญหาใหญ่ ปัญหาที่สักวันหนึ่งจะต้องเผชิญ และอาจย้อนกลับมาทำร้ายเธอ ทั้งหมดนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้เราได้สำรวจเรื่องราวเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง

การค้นหาตัวจูดี้และโทนี่…

ไมเคิล ชาเวส: มีอา ทอมลินสัน เป็นการค้นพบที่ยอดเยี่ยมมาก เธอเป็นนักแสดงที่น่าทึ่งจริงๆ ตอนที่เธอเข้ามาออดิชั่นครั้งแรก ผมให้เธอลองอ่านบทของลอร์เรนในวัยสาว และเธอก็ทำได้ดีมากจนผมพยายามโน้มน้าวให้เธอรับบทนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่เธอสุภาพและให้เกียรติมาก เธอบอกว่า “หนูอยากลองบทจูดี้มากกว่า—มันเป็นบทที่รู้สึกเข้ากับตัวเองจริงๆ”

เธอคือคนแรกที่เราได้เห็นมาในบทจูดี้ เธอลองอ่านบทนั้น และเธอทำได้ยอดเยี่ยม—ดีกว่าตอนที่เล่นเป็นลอร์เรนตอนสาวอีก ทุกคนประทับใจในตัวเธอมาก พูดตรงๆ เลย ผมก็รู้สึกใจสลายเล็กน้อยที่เธอจะไม่ได้เล่นเป็นลอร์เรนวัยสาว แต่ผมก็รู้ทันทีโดยไม่ต้องสงสัยเลยว่า ไม่มีใครเหมาะจะเล่นเป็นจูดี้ได้ดีไปกว่าเธออีกแล้ว

เธอถ่ายทอดอะไรหลายอย่างให้กับตัวละครนี้ รวมถึงความเปราะบางที่อยู่ในตัวจูดี้ด้วย จูดี้ไม่เคยได้ยืนหยัดด้วยตัวเอง เพราะแม่ของเธอคอยปกป้องเธอมาตลอด และผมคิดว่าเธอเข้าใจจุดนี้อย่างลึกซึ้ง เธอยังมีสายสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมกับเวรา ทั้งคู่สร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและงดงามระหว่างแม่ลูกขึ้นมาด้วยกัน มันมีช่วงเวลาแบบนั้นระหว่างแม่กับลูกสาว เช่นการกระซิบ หรือภาษาที่มีรหัสลับเฉพาะพวกเธอ—ซึ่งพ่อๆ อย่างเราก็แอบรู้สึกเหมือนเป็นคนนอก ในฉากที่อยู่ในร้านอาหาร ทั้งสองคนเล่นฉากนั้นได้ยอดเยี่ยมมาก มันเป็นสิ่งที่เราเห็นแล้วรู้สึกเชื่อทันที และสามารถสัมผัสได้เลยว่าความสัมพันธ์ของแม่ลูกคู่นี้แน่นแฟ้นขนาดไหน พวกเธอทำมันได้สมบูรณ์แบบเลยจริงๆ

และเบ็น ฮาร์ดี แสดงบทโทนี่ได้สุดยอดมาก ผมนี่เป็นแฟนผลงานของเขามาตลอดเลย เขาใส่อะไรหลายๆ อย่างเข้าไปในตัวละครนี้มากกว่าที่เราคาดไว้ เขาทำให้ตัวละครดูเข้าถึงง่าย ตลก และมีความโก๊ะๆ เวลาที่ต้องเป็นแบบนั้น และเขาก็เติมความลึกเงียบๆ ให้กับตัวโทนี่ได้ด้วย เขามีฉากหนึ่งร่วมกับแพทริค ซึ่งเขาเล่าเรื่องช่วงเวลาสำคัญในชีวิต ที่ทำให้มุมมองของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ตอนนั้นเองที่คนดูจะรู้ว่า ผู้ชายคนนี้ผ่านอะไรมามาก และสิ่งที่เขาเจอได้นำเขามาสู่มุมมองชีวิตใหม่ แพทริคกับเขาใส่อารมณ์ลงในฉากนั้นแบบเต็มที่

ก่อนหน้านั้น โดยเฉพาะในช่วงต้นเรื่อง เขาก็แค่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่จูดี้พาเข้ามาในชีวิตของครอบครัววอร์เรน ทุกคนแทบไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ และมันก็เต็มไปด้วยความตึงเครียดแบบขำๆ เหมือนที่เอ็ดพูดว่า “รีบร้อนไปหน่อยมั้ยกับลูกสาวฉัน?” แล้วโทนี่ก็เล่าเรื่องของเขา และอธิบายว่าประสบการณ์นั้นทำให้เขาเปลี่ยนมุมมองของชีวิตไปเลย ตอนนี้เขาแค่อยากใช้ทุกวันให้คุ้มค่าในทุกช่วงเวลา มันเป็นโมเมนต์ที่ทำให้คนดูต้อง “หยุดฟัง” จริงๆ และเบ็นก็ถ่ายทอดมันได้อย่างงดงามมาก และในช่วงเวลานั้นเอง ประตูสำหรับเขาก็เปิดออก เขากำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัววอร์เรนอย่างแท้จริง

 

เรื่องผีของจริง…

ไมเคิล ชาเวส: เวลาพูดถึงการสร้างหนังพวกนี้ คำถามที่มักจะโผล่ขึ้นมาบ่อยๆ ก็คือ “มีอะไรหลอนๆ เกิดขึ้นในกองถ่ายบ้างไหม?” และตอนนี้คำตอบของผมคือมีครับ ประสบการณ์ที่ผมเจอระหว่างถ่าย The Conjuring: Last Rites ทำให้ผมกลายเป็นคนที่เชื่อในเรื่องพวกนี้เลย มันมาจากสองเหตุผล หนึ่งคือการได้พูดคุยอย่างลึกซึ้งกับครอบครัวสเมิร์ล และได้เห็นความเชื่อมั่นที่พวกเขามีเวลาพูดถึงเรื่องราวของตัวเอง พวกเขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์ มีเหตุผล และฉลาดมาก และเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขามันไม่ใช่แค่น่ากลัว แต่มันคือแผลลึกที่ฝังอยู่ในชีวิต มันเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนใจและกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง และมันก็ส่งผลสะเทือนกับผมอย่างเหลือเชื่อเช่นกัน

แล้วระหว่างที่เราถ่ายทำกันที่อังกฤษ ผมขอสาบานเลยว่า ผมได้อยู่ในบ้านผีสิงจริงๆ มันชื่อว่า The Old Vicarage เป็นหนึ่งในบ้านพวกนั้นที่ไม่มีแม้แต่อะไรเป็นที่อยู่ มีแค่ชื่อเรียกเท่านั้น มันตั้งอยู่ในย่านที่ดูน่ารักมาก ปกติแล้วผมจะเลือกอยู่ที่พักเล็กๆ แต่คราวนี้ผมพาครอบครัวมาด้วย ก็เลยจบลงที่ The Old Vicarage บ้านหลังนี้ได้ชื่อนั้นมาเพราะในอดีต พวกบาทหลวงที่มารับหน้าที่ในโบสถ์จะมาอาศัยอยู่ที่นี่ ตัวบ้านเองน่าจะมีอายุราว 200 ปีได้แล้ว

ตลอดช่วงเวลาที่เราอาศัยอยู่ที่นั่น ลูกสาวของฉันคิดว่าเธอเห็นอะไรบางอย่าง และเธอก็ถ่ายรูปมันไว้ด้วย iPad ภาพค่อนข้างมืดและเบลออย่างที่คุณคาดไว้นั่นแหละ ด้วยความที่ฉันค่อนข้างเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ฉันเลยพูดว่า “ไม่มีอะไรตรงนั้นเลยจ้ะ หนู พ่อไม่เห็นอะไรเลยนะ” แต่เธอกลับยืนกรานว่า “พ่อไม่เห็นเหรอ? มันมีใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้น แล้วดูเหมือนจะเป็นนักบวชด้วยนะ ดูที่ปกเสื้อเขาสิ” ฉันก็ไม่แน่ใจว่าเธอตกใจเพราะฉันเพิ่งดู The Nun II จบหรือเปล่า แต่เธอก็เชื่อมั่นเต็มที่เลยว่ามีจริงๆ

ตอนนั้นมีข่าวลือหนาหูในย่านนี้เกี่ยวกับการลักขโมยที่เกิดขึ้นหลายครั้งติดกัน ทุกคนเลยอยู่ในโหมดระวังตัวสุดๆ วันหนึ่งครอบครัวฉันเข้าไปในลอนดอนตอนกลางคืน ฉันอยู่บ้านคนเดียวตามปกติ ทำสิ่งที่ฉันมักทำตอนดึกๆ นั่นคือเล่นวิดีโอเกม แล้วจู่ๆ ฉันก็ได้ยินเสียงคนพูดมาจากรอบๆ ตัวบ้าน ฉันปิดไฟทันทีเพื่อพยายามมองดูว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วฉันก็รู้ว่าเสียงพวกนั้นไม่ได้มาจากข้างนอก มันมาจากชั้นบน ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเบอร์ฉุกเฉินของที่นี่คืออะไร ก็เลยคว้าเอาอุปกรณ์จากเตาผิงแล้วเริ่มเดินขึ้นไปชั้นบน

ฉันได้ยินชัดเจนเลยว่าเป็นเสียงผู้ชายสองคนคุยกันอยู่ ตอนนั้นกลัวมาก แต่ก็ยังเดินต่อไป ฉันค้นหาทีละห้อง บ้านหลังนี้มีสามชั้นที่ออกแบบแปลก ๆ หน่อย เหมือนบ้านในแฮร์รี่ พอตเตอร์ มีมุมต่างๆ ที่เอียงแปลก ๆ แล้วฉันก็เดินสำรวจทุกห้องในชั้นบนทั้งสองชั้นอย่างละเอียด

แต่…ไม่มีใครอยู่ในบ้านเลย และเสียงพวกนั้นก็หยุดลงทันที

ตอนแรกฉันก็โล่งใจนะ คิดว่า “อย่างน้อยก็ไม่ได้โดนขโมยขึ้นบ้าน” เพราะฉันคงไม่รู้จะรับมือยังไงดี แต่แล้วก็รู้ตัวว่า ให้ตายเถอะ ฉันได้ยินเสียงพวกนั้นจริงๆ และฉันเชื่อจริงๆ ว่ามันเป็นการหลอกหลอน ฉันรู้เลยว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ที่นั่น ฉันกลายเป็นคนที่เชื่อเต็มร้อย และต้องขอโทษสำหรับบทสัมภาษณ์ไหนก็ตามที่เคยแสดงความไม่เชื่อหรือพูดเล่นไปก่อนหน้านี้ มันเกิดขึ้นกับฉันจริงๆ

การให้เกียรติครอบครัววอร์เรนและส่งต่อสิ่งนั้น…

ไมเคิล ชาเวส : ครอบครัววอร์เรนตัวจริงได้เปลี่ยนชีวิตของผู้คนมากมาย พวกเขาเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ต้องเผชิญกับการหลอกหลอน หรือพฤติกรรมลึกลับที่หาคำอธิบายไม่ได้ มีผู้คนจำนวนมากที่ไม่มีใครเชื่อ และครอบครัววอร์เรนก็เดินทางไปทั่วประเทศเพื่อรับฟังคนเหล่านั้น ความจริงของสิ่งที่พวกเขาทำนั้นสำคัญมาก มันเป็นเรื่องจริง ผมยังคิดถึงอีกหลายชีวิตที่ซีรีส์นี้ได้เข้าไปแตะต้อง หรือลงลึกในหัวใจของพวกเขา แฟนๆ ที่โตมากับการดูหนังชุดนี้ รวมถึงทุกคนที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับมัน มันเป็นประสบการณ์ที่สุดยอดและน่าจดจำมากจริงๆ และผมก็รู้สึกโชคดีอย่างเหลือเชื่อที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนี้

 

พูดคุยโปรดิวเซอร์ เจมส์ วาน และ ปีเตอร์ ซาฟราน

 

ปรากฏการณ์ The Conjuring

เจมส์ วาน : ผมรู้สึกทั้งโชคดีและเป็นเกียรติมากที่ The Conjuring ได้รับความนิยมและกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ มันเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของผู้คนจำนวนมาก ผมมีแฟน ๆ ที่มาพูดคุยกับผมอยู่เสมอ เล่าถึงว่าหนังชุดนี้มีความหมายกับพวกเขามากแค่ไหน และพวกเขาอยากให้มันดำเนินต่อไป สิ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกว่า…ผมน่าจะทำบางอย่างได้ถูกต้อง โดยเฉพาะกับหนังภาคแรก และหนังทุกเรื่องที่เราสร้างตามมา ผู้คนยังคงอยากกลับมาเยี่ยมตัวละครเหล่านี้ อยากกลับมาอยู่ในโลกนี้อีกครั้ง สำหรับคนทำหนังอย่างพวกเรา เวลาบนโลกนี้มันสั้นมาก และสิ่งที่เราทิ้งไว้เบื้องหลังได้ก็คือภาพยนตร์คือศิลปะของเรา พูดง่ายๆ ก็คือ มันช่างน่าพอใจมากที่รู้ว่า แม้วันหนึ่งผมจะจากไปแล้ว หนังเหล่านี้จะยังคงอยู่ต่อไป ตราบใดที่โลกยังมีภาพยนตร์อยู่

 

The Conjuring กับกาลเวลา…

เจมส์ วาน : ผมเติบโตขึ้นมากแน่นอนตั้งแต่ The Conjuring ภาคแรก ตอนนั้นผ่านมาแล้วกว่าทศวรรษ และหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตผมก็เปลี่ยนไป แต่ผมจะมองย้อนกลับไปที่หนังเรื่องแรกนั้นด้วยความทรงจำที่ดีที่สุดในเส้นทางอาชีพการเป็นผู้กำกับของผมเสมอ มันคือหนังที่วางรากฐานให้กับเส้นทางที่ผมใฝ่ฝันมาโดยตลอด 

ผมมีเรื่องให้รู้สึกขอบคุณมากมาย ทั้งกับแฟรนไชส์นี้ โลกของหนังเรื่องนี้ เรื่องราวของครอบครัววอร์เรน และสิ่งที่เราร่วมกันสร้างขึ้นในเวอร์ชันภาพยนตร์ของมัน และตอนนี้เรากำลังจะปิดฉากบทสำคัญบทหนึ่งในชีวิตของเราทุกคน กับ The Conjuring: Last Rites

 

คดีสเมิร์ล …

เจมส์ วาน : ผมรู้สึกว่ามันเหมาะสมมากที่เราจะปิดฉาก The Conjuring ด้วยคดีของครอบครัวสมเมอร์ล อย่างน้อยสำหรับตัวผมเอง เพราะมันคือหนังทีวีเรื่องหนึ่งที่เล่าเรื่องราวของครอบครัวสมเมอร์ลและเป็นสิ่งที่พาผมไปรู้จักกับงานของครอบครัววอร์เรนครั้งแรก มันคือครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อของคู่รักนักสืบเรื่องลี้ลับคู่นี้ ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าพวกเขาเป็นคนจริง ๆ จนได้ดูหนังทีวีเรื่องนั้น

สำหรับผมแล้ว มันเหมือนการปิดวงกลมอย่างสมบูรณ์—กลับมายังเรื่องราวแรกสุดที่ทำให้ผมได้รู้จักว่าครอบครัววอร์เรนคือใคร และมันก็เป็นเรื่องที่ผมรู้สึกมาตลอดว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อมรดกที่วอร์เรนทิ้งไว้

พวกเราทุกคนจึงรู้สึกว่านี่แหละคือเรื่องที่สมบูรณ์แบบที่สุด ที่จะใช้ปิดฉากเรื่องราวทั้งหมดนี้

 

ครอบครัววอร์เรน…

เจมส์ วาน : สิ่งหนึ่งที่เราตระหนักได้ทุกครั้งที่ทำหนัง The Conjuring ภาคใหม่ก็คือ เหตุผลที่ผู้คนยังคงกลับมาดูหนังพวกนี้ ก็เพราะพวกเขารักแพทริค วิลสัน และเวร่า ฟาร์ไมก้า กับการที่ทั้งคู่ถ่ายทอดบทของเอ็ดและลอร์เรน วอร์เรน รวมถึงความสัมพันธ์แบบครอบครัวที่ทั้งคู่สร้างขึ้นมาได้อย่างน่าประทับใจ

และในภาคนี้ เราอยากเจาะลึกเข้าไปในไดนามิกครอบครัวแบบนั้นมากขึ้นอีก ดังนั้น ลูกสาวของพวกเขา “จูดี้” จึงมีบทบาทสำคัญในเรื่องอย่างมาก ส่วนหนึ่งของเรื่องราวจะเกี่ยวกับการที่เอ็ดได้พบกับแฟนของจูดี้ผู้ชายที่อาจจะกลายเป็นสามีในอนาคตของเธอ และเราได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนนั้น ว่าจะเข้ากันได้หรือไม่

พวกเราคิดว่ามันเป็นส่วนที่สนุกและอบอุ่นของหนังที่ควรใส่เข้าไป และผมก็ดีใจมากที่เราเลือกทำแบบนั้น เพราะเรื่องราวตรงนี้มันถ่ายทอดออกมาได้อย่างจริงใจและกินใจจริงๆ ท้ายที่สุด ต่อให้ฉากหลอนจะออกแบบมาเจ๋งแค่ไหน มันก็จะได้ผลก็ต่อเมื่อคนดูแคร์ตัวละครจริง ๆ และนั่นคือสิ่งสำคัญที่สุดที่พวกเราอยากเน้นในหนังภาคสุดท้ายนี้ 

เส้นทางของครอบครัววอร์เรน…

เจมส์ วาน : ในภาพยนตร์ภาคที่สี่นี้ ซึ่งเกิดขึ้นในปี 1986 ณ จุดนั้นในอาชีพของพวกเขา ครอบครัววอร์เรนก็กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างแล้ว พูดได้ว่ากึ่งโด่งดัง กึ่งอื้อฉาวก็ว่าได้ สาธารณชนเริ่มรู้จักพวกเขามากขึ้นจากกระแสข่าวและการเปิดเผยเรื่องราวคดีต่างๆ ที่พวกเขาเข้าไปเกี่ยวข้อง เรารู้สึกว่านี่คือองค์ประกอบอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจมาก และควรถูกใส่ไว้ในหนังด้วย ตอนที่วอร์เรนออกไปเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ พวกเขาเริ่มเจอกับผู้คนที่ปฏิบัติต่อพวกเขาแตกต่างจากในภาคแรกโดยสิ้นเชิง จากที่เคยไม่มีใครเชื่อ กลับกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียง เราต้องการยึดมั่นกับรายละเอียดบางอย่างที่เป็นเรื่องจริง เพื่อเพิ่มความรู้สึกสมจริงและความน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรายึดถือมาตลอดในการเล่าเรื่อง

 

การสร้างความหลอน…

เจมส์ วาน :นี่เป็นเรื่องที่อธิบายยากมาก เพราะสำหรับผมแล้ว มันไม่มีสูตรตายตัวในการจับช่วงเวลานั้นที่ทำให้คนขนลุก ส่วนใหญ่แล้วมันเริ่มจากแค่ไอเดียคร่าวๆ แล้วเมื่อผมไปถึงกองถ่าย ผมจะใช้เวลาสักหน่อย เดินสำรวจฉากไปเรื่อยๆ รับความรู้สึกจากบรรยากาศรอบตัว และเริ่มเล่นฉากต่างๆ ในหัวของผมเอง เดินวนไปมา จินตนาการและจำลองฉากในหัว ถ้าตอนที่ผมกำลังจินตนาการมัน มันทำให้ผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาเอง ผมจะรู้เลยว่าผมได้เจออะไรบางอย่างที่พิเศษแล้ว

หนังพวกนี้มีพื้นฐานอยู่ที่การค้นพบเยอะมาก ผมคิดว่าการมีไอเดียก่อนเข้าไปในกองถ่ายเป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่สิ่งที่สำคัญพอๆ กันก็คือการเปิดใจค้นหาและสร้างสิ่งใหม่ในขณะนั้นด้วย และหลายครั้งเลยที่นักแสดงก็มีบทบาทสำคัญมากในการเติมเต็มสิ่งเหล่านั้น ผมชอบที่จะโยนไอเดียให้พวกเขา ลองแลกเปลี่ยนกันตอนที่เรากำลังจัดบล็อกกิ้งฉากต่าง ๆ นั่นแหละคือวิธีการทำงานของผม

และผมก็เห็นไมเคิล ชาเวสทำแบบนั้นเยอะมากในหนังเรื่องนี้ด้วย สำหรับหนังในไลน์หลักของ The Conjuring แล้ว นี่คือเรื่องที่สองของเขา เขารู้จักแพทริคกับเวร่าเป็นอย่างดี รู้จักตัวละคร และเข้าใจโลกของหนังชุดนี้อย่างลึกซึ้ง เขาเข้ามาทำหนังเรื่องนี้ด้วยความมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิม และเขาก็ออกแบบฉากหลอนหลายฉากที่ผมรู้สึกดีมากๆ ด้วย มันน่าตื่นเต้นนะที่ได้เห็นเขาเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ กับแต่ละเรื่องที่เขาทำในจักรวาลนี้ พวกเรารู้สึกว่าโชคดีมากที่มีเขาอยู่ในทีม

ความเชื่อ…

เจมส์ วาน : ผมเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ เชื่อในเรื่องลี้ลับ และผมพยายามที่จะให้ความเคารพกับทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างมาก ผมคิดว่าเราไม่ควรดูถูกหรือไม่ให้เกียรติกับสิ่งเหล่านี้เลย เรายังไม่เข้าใจ หรือแม้แต่จะจินตนาการใกล้เคียงได้ว่าของพวกนี้มันคืออะไรจริง ๆ ผมคิดว่าการคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องตลกหรือเรื่องเล่น ๆ นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีอย่างมาก ดังนั้น ผมจึงพยายามถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ตามที่ผมเห็นและสัมผัสมา การให้ความเคารพคือวิธีที่ดีในการเริ่มต้น ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ควรถูกมองข้ามหรือนำมาล้อเล่นเด็ดขาด

ไมเคิล ชาเวสในฐานะผู้ดูแลแฟรนไชส์…

ปีเตอร์ ซาฟราน : ผมชอบหนังสั้นของไมเคิล ชาเวสมาก ๆ ซึ่งมันเป็นเหมือนการออดิชันของเขาเพื่อได้งานกำกับ La Llorona ผมคิดในใจเลยว่า “นี่แหละ คนที่รู้จริงเรื่องการสร้างความหลอน” นั่นคือจุดแข็งของเขาอย่างแท้จริง และตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาเติบโตขึ้นเป็นผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แค่เรื่องความหลอนซึ่งเป็นของที่แน่นอนว่าเขาทำได้ดีมาก แต่เขายังสามารถเข้าถึงอารมณ์และเนื้อหาลึกซึ้งในบทภาพยนตร์ได้อย่างลงตัว ทำให้หนังมีมิติและความรู้สึกสะเทือนใจ ผมคิดว่านี่คือการผสมผสานที่สุดยอดและพิเศษที่ทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่นๆ

ผมรู้สึกมั่นใจอย่างมากว่าแฟรนไชส์นี้จะอยู่ในมือที่ปลอดภัยเมื่อไมเคิลตกลงมาทำหน้าที่ผู้กำกับ The Conjuring: Last Rites ผมรู้ว่าเรามีบางสิ่งที่พิเศษ และเขา—รวมถึงพวกเราทุกคน—ตั้งใจจะปิดแฟรนไชส์นี้ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมมาก การทำงานต่อจากเจมส์ วานนั้นไม่ง่ายเลย เจมส์เป็นผู้กำกับหนังสยองขวัญที่ครบเครื่องอย่างแท้จริง ที่ผสมผสานความหลอนและอารมณ์ได้อย่างงดงามและเป็นเอกลักษณ์ แต่ผมคิดว่าไมเคิลได้เรียนรู้จากเจมส์มามากตลอดหลายปีที่ผ่านมา และไม่มีใครเหมาะสมกว่าที่จะดูแลหนังภาคนี้ไปมากกว่าไมเคิลจริงๆ

 

การกลับมาของซีรีส์…

ปีเตอร์ ซาฟราน : ผมกับเจมส์ยืนยันหนักแน่นว่า เราจะไม่ทำหนังภาคที่สี่แน่นอน ถ้าเราไม่รู้สึกว่ามันจะเป็นภาคต่อที่คู่ควรกับจักรวาลที่เราสร้างมา เราจะไม่ทำถ้าเราไม่ได้รักเรื่องราวและเส้นทางที่ครอบครัววอร์เรนกำลังเดินอยู่ และทั้งหมดนั้นต้องมีโครงสร้างทางอารมณ์ที่แข็งแกร่งรองรับอยู่ การที่เราไม่ถูกบีบให้ต้องทำภาคต่อ ทำให้เราได้มีโอกาสใช้เวลาปรับแต่งและมั่นใจว่าบทภาพยนตร์นั้นเยี่ยมยอดจริง ๆ ได้เลือกผู้กำกับที่เหมาะสม และมีทรัพยากรที่สนับสนุนหนังที่เราต้องการจะทำ

วอร์เนอร์ บราเธอร์ส และนิวไลน์ ให้การสนับสนุนแฟรนไชส์และทีมงานอย่างเต็มที่ พวกเขาคือตัวแทนของคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจักรวาล The Conjuring เราโชคดีที่ไม่ถูกบีบบังคับให้ทำหนัง เราสามารถทำได้เมื่อถึงเวลาที่เรารู้สึกว่ามันใช่จริงๆ

การเพิ่มความตื่นเต้น…

ปีเตอร์ ซาฟราน :  ผมคิดว่าเรารู้กันมาตั้งแต่แรกแล้วว่าคดีสมเมอร์ลจะเป็นบทสรุปของบทนี้ในเรื่องราวของครอบครัววอร์เรน เรารู้เรื่องนี้มาสักพักแล้ว เดวิด เลสลี่ จอห์นสัน-แมคโกลดริก ผู้เขียนบทที่เขียนทั้งภาค 2 และ 3 ก็เน้นย้ำแนวคิดนี้อย่างชัดเจน เขามีคอนเซปต์เจ๋ง ๆ ที่เขาและเจมส์ช่วยกันพัฒนา จนกลายมาเป็น The Conjuring: Last Rites สิ่งหนึ่งที่ผมกับไมเคิล ชาเวสพูดคุยกันบ่อย ๆ คือ เราต้องทำหนังที่ไม่ใช่แค่หลอกหลอนจนคนกลัวสุดๆ แต่ต้องทำให้คนดูน้ำตาซึมด้วยอารมณ์จริงๆ ด้วย

ผมเชื่อว่ามาตรฐานของหนังที่ฉายในโรงในช่วงสิบปีที่ผ่านมาสูงขึ้นมาก หนังต้องสะท้อนบางอย่างเกี่ยวกับ สภาพของมนุษย์ในระดับหนึ่ง ผมพูดเสมอว่า “ถ้าเราทำให้คนกลัวและทำให้เขาร้องไห้ได้ เราจะมีหนังที่ชนะใจคนดูแน่ๆ” ไมเคิลรับฟังเรื่องนี้อย่างจริงจัง และเขาก็ทำหนังที่สวยงามออกมาอย่างที่เราคาดหวัง ถ้าเอาความหลอนออกไป หนังเรื่องนี้ก็ยังเป็นละครครอบครัวที่ยอดเยี่ยมมากอยู่ดี

แม่กับลูกสาว…

ปีเตอร์ ซาฟราน : มันน่าประทับใจมากที่เราได้เริ่มแนะนำตัวละครจูดี้ตั้งแต่ตอนที่เธอยังเป็นเด็กน้อยใน The Conjuring ภาคแรก และในฐานะผู้ชม เราได้เห็นเธอเติบโตผ่านหนังภาคต่อ ๆ มา ตอนนี้เธอตกหลุมรัก และกำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ของตัวเอง ผมชอบที่เราได้พาผู้ชมเดินทางไปกับเรื่องราวนี้

ในฐานะพ่อแม่ มันเป็นเรื่องที่ซาบซึ้งมากที่ได้สำรวจความรู้สึกของการปล่อยให้ลูกได้ออกไปเผชิญโลกจริง ๆ รู้ว่าคุณไม่สามารถปกป้องเขาได้จากทุกอย่าง แต่ต้องเชื่อใจว่าเราได้ปลูกฝังให้เขามีทั้งสติปัญญาและความเข้มแข็งทางอารมณ์ที่จะรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ในเรื่องนี้ สิ่งที่ลอเรนอยากทำที่สุดก็คือปกป้องจูดี้ แต่เธอก็ต้องมาถึงจุดที่รู้ว่าเพื่อจะปกป้องลูกได้จริง ๆ เธอจำเป็นต้องปล่อยให้จูดี้ได้สัมผัสและใช้พลังของตัวเอง จูดี้ไม่สามารถซ่อนหรือหนีพลังนั้นได้อีกต่อไป สุดท้ายจูดี้ก็เข้าใจว่าเธอจำเป็นต้องสู้เคียงข้างเอ็ดและลอเรน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของครอบครัวพวกเขา และจะเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับชีวิตที่เหลือร่วมกันของทั้ง 3 คน

 

ติดตามเรื่องราวของครอบครัววอร์เรน…

ปีเตอร์ ซาฟราน: พวกเราชอบที่จะวางเรื่องราวในจักรวาล The Conjuring ให้อยู่ในช่วงเวลาที่ชัดเจนเสมอ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้มันดูเป็นการล้อเลียนยุคนั้นจนเกินไป อย่างในภาคแรกที่เกิดขึ้นในยุค 70s มันไม่ใช่ยุคดิสโก้แบบ Saturday Night Fever แต่มันก็ยังสะท้อนถึงบรรยากาศของยุคนั้นได้ดี และในขณะเดียวกันก็รู้สึกเป็นสากล เหมือนกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องสามารถเกิดขึ้นได้ทุกยุคทุกสมัย กับหนังภาคใหม่นี้ก็เช่นกัน มันถูกตั้งให้อยู่ในช่วงยุค 80s อย่างชัดเจน ปี 1986 แต่เราไม่ต้องการให้มันรู้สึกเหมือนเป็นการล้อเลียนยุคนั้น มันเป็นเพียงโลกที่ตัวละครเหล่านี้อาศัยอยู่เท่านั้น

เอ็ดและลอเรน วอร์เรน กำลังอยู่ในช่วงปลายของเส้นทางการเป็นนักสืบเรื่องเหนือธรรมชาติ พวกเขาทั้งคู่เริ่มคิดถึงการวางมือ เพราะเอ็ดสุขภาพไม่ดีนัก และประสบการณ์ที่ผ่านๆ มาก็ส่งผลกระทบอย่างมากต่อลอเรน พอพวกเขาเริ่มแก่ตัวลง ผมคิดว่าทั้งคู่เริ่มตระหนักว่าคงต้องหันกลับมาดูแลตัวเองบ้าง แทนที่จะทุ่มเททั้งหมดเพื่อช่วยเหลือคนอื่น

แต่น่าเสียดาย สำหรับพวกเขาแล้ว ด้วยความเป็นคนดีโดยธรรมชาติ พวกเขาก็ไม่สามารถละทิ้งภารกิจนี้ได้ ถ้ามีคนที่กำลังเดือดร้อน พวกเขาก็อยากจะยื่นมือเข้าไปช่วย และนั่นคือจุดที่พวกเขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับครอบครัวสเมิร์ล 

 

คนรุ่นต่อไป…

ปีเตอร์ ซาฟราน: พวกเราถือว่าโชคดีมากที่ได้แพทริคและเวร่ามารับบทนำมาตลอดหลายปีนี้ พวกเขาเป็นศูนย์กลางของจักรวาล The Conjuring มาโดยตลอด ดังนั้น การจะเพิ่มตัวละครหลักใหม่สองคนที่มีบทบาทเด่นเทียบเท่ากับเอ็ดและลอเรน ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก แต่เมื่อเราได้พบกับ มีอา ทอมลินสัน และ เบ็น ฮาร์ดี มันทำให้เรารู้สึกเบาใจทันที ทั้งคู่สามารถถ่ายทอดความเป็นคนดีที่ครอบครัววอร์เรนมีออกมาได้อย่างชัดเจน พวกเขาเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมมาก และสามารถทำได้ทุกอย่างตามที่ไมเคิล ชาเวสต้องการ  แถมยังทำได้เกินความคาดหวังเสียด้วยซ้ำ พวกเราไว้วางใจพวกเขาได้อย่างเต็มที่ และพวกเขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ

 

เริ่มต้นจากความสงสัย…

ปีเตอร์ ซาฟราน: ในตอนแรก ผมจัดตัวเองเป็นพวกที่ไม่เชื่อมากกว่าพวกที่เชื่อ แต่หลังจากที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างภาพยนตร์ชุดนี้—และได้พบกับผู้คนมากมายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ครอบครัวเพอร์รอน ครอบครัวฮอดจ์สัน ครอบครัวสมเมิร์ล และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลอเรน วอร์เรน ผู้มีความศรัทธา ความเชื่อมั่น และความดีอยู่ในตัวอย่างแท้จริง—ผมรู้สึกจริง ๆ ว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริง

เมื่อได้ใช้เวลาพูดคุยกับครอบครัวเหล่านี้ ฟังพวกเขาเล่าเรื่องราว… พวกเขาไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมา สำหรับพวกเขาแล้ว ทุกอย่างคือความจริงแบบ 100% ผมคิดว่ามันมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ข้างนอกนั้น ที่เราอาจยังไม่รู้ หรือยังไม่สามารถเข้าถึงได้ มันเป็นประสบการณ์เรียนรู้ที่น่าทึ่งมากๆ ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา

 

พูดคุยกับ เวร่า ฟาร์ไมก้า และ แพทริค วิลสัน

ผู้กลับมารับบท ลอเรน และ เอ็ด วอร์เรน อีกครั้ง…

คำถาม : อะไรคือสิ่งที่ทำให้ผู้คนยังคงหลงใหลในเอ็ดและลอเรน วอร์เรน?

เวร่า ฟาร์ไมก้า: ฉันคิดว่าครอบครัววอร์เรนน่าหลงใหลก็เพราะพวกเขาเป็นคู่รักที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาปลุกความเชื่อของเราต่อความเป็นฮีโร่และการเสียสละ พวกเขาแสดงให้เห็นว่า ถ้าคุณโอบรับความเมตตา และใช้พรสวรรค์ของตัวเองอย่างถูกทาง คุณก็สามารถทำให้โลกนี้อ่อนโยนขึ้น เมตตาขึ้น เต็มไปด้วยความรัก และศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น
เรานำเสนอพวกเขาในแบบที่ดูงดงาม เป็นเหมือนภาพในอุดมคติ แต่นั่นก็เพื่อจะทำให้พวกเขาเป็นตัวอย่างของบัญญัติแห่งความรัก

แพทริค วิลสัน: ผมก็คิดเหมือนกันนะ ว่าลักษณะที่เรานำเสนอสองตัวละครนี้ รวมถึงการแสดงของเรา มันตัดกับความมืดของเรื่องราวได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะมืดมนแค่ไหน ไม่ว่าจะมีความแตกร้าวในครอบครัวต่าง ๆ ที่พวกเขาเข้าไปช่วย หรือมีดราม่าหนักแค่ไหนจากคดีที่พวกเขาสืบสวน

ทั้งหมดนั้นกลับยิ่งตอกย้ำความสัมพันธ์ของพวกเขาให้แน่นแฟ้นขึ้น คุณจะเห็นความเป็นคู่รักที่กล้าหาญ อบอุ่น เต็มไปด้วยความรัก และคุณจะได้เห็นว่าสองคนนี้ร่วมมือกันอย่างแท้จริง ยิ่งเรื่องราวมืดหม่นเท่าไร เราก็ยิ่งค้นพบแสงสว่างได้มากขึ้นเท่านั้น ช่วงเวลาของความเบาใจ ความรัก อารมณ์ขัน และเคมีที่พวกเขามีต่อกัน… ผมคิดว่านั่นแหละคือเหตุผลที่ผู้คนรู้สึกว่า วอร์เรนของเรา กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาไปแล้ว

 

คำถาม: แล้วทั้งสองคนคาดหวังอะไรจากการกล่าวอำลาตัวละครเหล่านี้?

เวร่า ฟาร์ไมก้า: Last Rites พิธีสุดท้าย การกระทำสุดท้าย การอำลาครั้งสุดท้าย ฉันคิดว่าเรื่องราวในภาคนี้เหมาะสมที่จะเป็นบทสรุปของเรื่องราวของเอ็ดและลอเรน เพราะปีศาจในเรื่องนี้มีความแค้นส่วนตัวกับทั้งสองคน ซึ่งย้อนกลับไปหลายสิบปีใช่ไหม? และปีศาจตนนี้เป็นปีศาจที่อาฆาต กระหายเลือด และนำมาซึ่งความตาย

แพทริค วิลสัน: คำคุณศัพท์ดีมาก คุณเก่งเรื่องนี้จริง ๆ

เวร่า ฟาร์ไมก้า: เป็นปีศาจที่น่าหวาดกลัวอย่างแท้จริง และมันจะไม่มีวันหยุดจนกว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ และสิ่งที่มันต้องการนั้นก็เกี่ยวพันกับตัวตนของเอ็ดและลอเรนอย่างลึกซึ้ง

แพทริค วิลสัน: เราต้องการเรื่องราวที่ดึงคนดูได้แบบนั้น และในขณะเดียวกัน สำหรับพวกเราเอง เราก็อยากเห็นทั้งเอ็ดและลอเรนอยู่ในสถานการณ์ที่ตกอยู่ในอันตราย แต่ก็มีช่วงเวลาแห่งความกล้าหาญด้วย รวมไปถึงการได้เห็นคนวัยกลางคนสองคนที่หันกลับมาทบทวนตัวเอง เหมือนที่ทุกคนทำ แล้วถามตัวเองว่า “เรากำลังทำอะไรกับชีวิตกันแน่?” ผมคิดว่ามันสำคัญมากที่เอ็ดและลอเรนในจุดนั้นของชีวิต จะต้องมองไปยังอนาคตของลูกสาวพวกเขา ในขณะที่พวกเขากำลังส่งต่อบทบาทให้คนรุ่นใหม่ และไตร่ตรองว่าสิ่งที่พวกเขาทำลงไป ทั้งการเสียสละทางร่างกายและอารมณ์ มันหมายถึงอะไร

ดังนั้นเรื่องนี้จึงต้องสื่อสารอารมณ์และธีมหลายชั้น ทั้งในฐานะคู่รักวัยกลางคนที่มองย้อนกลับไปยังชีวิตของตัวเอง มองไปยังคนรุ่นใหม่ แล้วตั้งคำถามว่า “เราทำได้ตามที่ตั้งใจไว้หรือยัง? ยังมีอะไรเหลือที่ต้องทำอีกไหม? หรือบางที…เราควรปล่อยวางและจากไปอย่างสงบ?” และนั่นแหละคือความขัดแย้งที่เราต้องการถ่ายทอด ซึ่งผมคิดว่าเราทำมันได้สำเร็จ

 

คำถาม: ตอนเริ่มเรื่อง ลอเรนและเอ็ดอยู่ในจุดไหนของชีวิตกันแล้ว?

เวร่า ฟาร์ไมก้า: ตอนที่เราได้เจอกับลอเรนและเอ็ดอีกครั้ง พวกเขาก็อยู่ในช่วงท้ายของอาชีพแล้ว—ผ่านเหตุการณ์สะเทือนขวัญมานับไม่ถ้วน หลายคดีก็เป็นที่พูดถึงในวงกว้าง พวกเขากลายเป็นที่รู้จักในสื่อ และในขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์และการดูแคลน

พูดตามตรงก็คือ… ทั้งคู่ผ่านศึกหนักมาเยอะมากแล้ว งานที่พวกเขาทำมันกินพลังใจอย่างมหาศาล และแน่นอนว่า ความเครียดจากการทำงานนี้ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของเอ็ด ทั้งในแง่ของความดันโลหิตและสุขภาพโดยรวม ส่วนลอเรนเองก็ทรุดลงในแง่ของสภาพจิตใจและร่างกาย มันเหมือนกับ “ความเหนื่อยล้าของผู้ดูแล” คือเมื่อคุณทุ่มเททั้งหมดไปกับการดูแลคนอื่น มันจะทำให้คุณเหนื่อยล้าทั้งตัวและใจ ดังนั้นตอนนี้เธอจึงตัดสินใจหยุดพัก และพยายามบังคับให้เอ็ดหยุดพักด้วย สำหรับลอเรนแล้ว เธอกำลังเข้าสู่โหมดปกป้องตัวเอง แต่เอ็ด… เขายังเป็นคนเดิมเสมอ ยังอยากลุย อยากลุกขึ้นไปลุยคดีอีก เหมือนคาวบอยแก่ที่ไม่ยอมเลิก แต่ลอเรนในตอนนี้กลับเลือกที่จะชะลอและรักษาตัวเองก่อน

 

คำถาม: แล้วพลังจิตของลอเรนแสดงออกมาอย่างไร โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับลูกสาวอย่างจูดี้?

เวร่า ฟาร์ไมก้า: ลอเรน วอร์เรนตัวจริงเคยบอกฉันว่า ความสามารถทางจิตของเธอมันเหมือนมีสวิตช์เปิด-ปิด เธอสามารถเปิดใช้เมื่อจำเป็น หรือเมื่อเธอต้องการ และก็สามารถปิดมันได้ มันคล้ายกับการปรับคลื่นวิทยุแบบเก่าๆ คุณสามารถเร่งสัญญาณให้ชัดขึ้น หรือจะปิดเสียงไปเลยก็ได้ ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเลือกของเธอเอง ตอนนี้ลอเรนอยู่ในช่วงพักจากทุกอย่างอย่างที่เธอตั้งใจไว้เอง สัญญาณของเธอก็เลยเหมือนถูกหรี่ลง—เสียงเบาลง จนกระทั่งวันหนึ่ง เธอก็ได้รับภาพนิมิตแรกแบบไม่ทันตั้งตัวขณะล้างจาน

ลูกสาวของเธอ จูดี้ ได้รับพลังญาณหรือความสามารถทางจิตจากลอเรนมาเช่นกัน และลอเรนก็รู้ดีว่าสิ่งนี้อาจเป็นพรหรือคำสาปก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเรายอมรับมันยังไง และรู้สึกอย่างไรกับมัน เหมือนแม่ทุกคนที่อยากเห็นลูกสาวมีความสุข ลอเรนก็หวังให้จูดี้ยอมรับพรสวรรค์นี้ ควบคุมมันให้ได้ และเติบโตขึ้นพร้อมกับความมั่นใจ—มั่นใจในพลังของตัวเอง เหมือนที่ลอเรนเชื่อมั่นในตัวจูดี้ แต่จนถึงตอนนี้ จากที่เราเห็นในภาพยนตร์เรื่องก่อนๆ จูดี้ยังเป็นเด็กที่กลัวสิ่งเหล่านี้อยู่มาก

คำถาม:  คุณอยู่ตรงไหนในแง่ของศรัทธาของเอ็ดและความสัมพันธ์ของเขากับจูดี้?

แพทริค วิลสัน: ในแง่ของศรัทธา ผมไม่คิดว่าเขาเคยสั่นคลอนเลย นั่นแหละคือสิ่งหนึ่งที่เอ็ดยึดมั่นมาตลอด ผมคิดว่าเขากลัวเรื่องสุขภาพของตัวเองหลังจากที่หัวใจวาย และแน่นอน สำหรับเขาในฐานะผู้ชายยุคเก่า ผู้ชายที่มีความรับผิดชอบต่อครอบครัวและภรรยา ผมคิดว่าเขากำลังต่อสู้กับเรื่องนี้อยู่ เขาไม่อยากให้ปัญหาสุขภาพกลายเป็นอุปสรรค ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าเขาอยากจะออกไปลุยข้างนอก เพราะมันทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวา แต่เขาก็รู้ดีว่ามันส่งผลกระทบต่อลอร์เรนแค่ไหน

เวร่า ฟาร์ไมก้า: แต่ทั้ง 2 คนเป็นคู่หูที่ยอดเยี่ยม และพวกเขาก็รู้ดีว่าพวกเขาทำสิ่งนี้ไม่ได้ถ้าไม่มีอีกคน

แพทริค วิลสัน: ใช่ พวกเขาไม่มีทางทำได้แน่ๆ ถ้าไม่มีอีกฝ่ายเอ็ดก็แค่เดินวนอยู่ในห้องเฉยๆ เธออาจจะทำได้ด้วยตัวคนเดียวด้วยซ้ำ เอาตรงๆ เลยนะ แต่ถ้าพูดถึงจูดี้ผมคิดว่าเขาปกป้องเธอมาก เขาไม่ใช่พวกมีญาณทิพย์ ผมไม่คิดว่าเขารู้ตัวจริงๆ ด้วยซ้ำว่าเธอกำลังเริ่มมีพลังพิเศษอะไรแบบนั้น ผมมั่นใจว่าพวกเขาคงเคยคุยกันบ้างแหละ แต่เขาทำได้แค่เห็นใจ เขาไม่รู้หรอกว่ามันรู้สึกยังไง เพราะงั้นเขาเลยกังวลมากกว่าว่าโทนี่กับจูดี้จะได้เจอคนที่ใช่หรือเปล่า เขาค่อนข้างเป็นคนที่มองโลกตามความเป็นจริง เพราะเขาเป็นผู้ชายสายอนุรักษนิยม และนั่นก็เป็นอะไรที่สนุกเหมือนกัน ผมมักจะรู้สึกว่าน่าสนใจนะ เวลาได้เล่นเป็นคนที่มั่นคงในศรัทธา ประเพณี และหลักศีลธรรมของตัวเอง และต้องพยายามรักษามันไว้ โดยเฉพาะในช่วงที่สิ่งเหล่านั้นขัดแย้งกันเอง

 

คำถาม: ทั้งหมดนี้มันมารวมกันได้ยังไง และพาเขาทั้งสองมาถึงคดีนี้ได้อย่างไร?

แพทริค วิลสัน: เราเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีนี้แบบไม่เต็มใจเท่าไหร่ จุดเริ่มต้นคือเรารู้ว่าจูดี้คือเป้าหมายหลักของเรา ลอร์เรนจับได้ว่าจูดี้กำลังมีปัญหา เราหาเธอไม่เจอ และเธอก็ทำอะไรนอกกรอบไปแล้ว จะเรียกว่า “แหกกฎ” ก็ได้ เธอเข้าไปในบ้านของครอบครัวหนึ่งที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก สิ่งที่ต่างออกไปจากหนังเรื่องก่อน ๆ คือครั้งนี้เราตามไปเพื่อจูดี้ ไม่ใช่เพื่อคดีหรือครอบครัวอื่นแบบที่เคยทำ ถึงแม้บางครั้งเราจะเข้าไปช่วยแบบไม่เต็มใจก็ตาม แต่นี่คือเรื่องราวที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

เวร่า ฟาร์ไมก้า: ในหนัง The Conjuring ภาคก่อน ๆ จูดี้ยังไม่เคยยอมรับในพรสวรรค์ของเธอเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นเธอลองสำรวจมัน แทนที่จะหนีมัน ในฐานะพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่ง เราก็ต้องสอนให้เธอกล้าหาญและเข้มแข็ง แต่สำหรับจูดี้ มันยังมีอีกด้าน คือการสอนให้เธอเข้าใจญาณทิพย์ของตัวเอง จนถึงตอนนี้ ลอร์เรนพยายามหาทางให้เธอหลีกเลี่ยงมัน เช่นการหายใจเข้าออกลึก ๆ หรือท่องมนต์ เพื่อลดพลังหรือหลีกเลี่ยงมัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เราจะเห็นจูดี้เริ่มควบคุมชีวิตตัวเอง สำหรับลอร์เรน มันก็เหมือนพิธีส่งท้ายของความเป็นแม่ เป็นการปล่อยมือจากพวงมาลัย หลังจากที่พยายามปกป้องจูดี้มาตลอดทุกภาค มันคือสัญชาตญาณของความเป็นพ่อแม่ที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอของเรา

แพทริค วิลสัน: เพื่อกันเธอออกไปจากเรื่องพวกนี้

เวร่า ฟาร์ไมก้า: ใช่ เราเป็นพ่อแม่กันทั้งคู่ เรารู้ดีว่าวันหนึ่งในเส้นทางของการเป็นพ่อแม่ เราต้องตระหนักว่าถ้าเราไม่ยอมให้ลูกได้เจอกับความล้มเหลวหรือความผิดหวังบ้างเลย เขาก็จะไม่มีวันสร้างกล้ามเนื้อชีวิต ไม่รู้จักความกล้าหาญ ความแข็งแกร่ง หรือความอดทนที่จำเป็นต่อการเติบโตและการเอาตัวรอดในชีวิตจริง และนั่นแหละคือสิ่งที่เอ็ดกับลอร์เรนต้องเผชิญ มันเป็นเรื่องยากนะ การปกป้องลูกคือสิ่งที่พ่อแม่ต้องทำก็จริง แต่การเรียนรู้ที่จะปล่อยให้ลูกเติบโตด้วยตัวเอง คือสิ่งที่ลอร์เรนต้องเผชิญในครั้งนี้

 

คำถาม: รู้สึกยังไงที่เรื่องราวชุดนี้กำลังจะจบลง ทั้งที่รู้ว่ามันยังสามารถดำเนินต่อไปได้?

แพทริค วิลสัน: สำหรับผมเอง มันค่อนข้างยากที่จะเข้าใจหรือซึมซับกับช่วงเวลานี้จริง ๆ อย่างเช่น “แม่ชี” ก็ไม่ใช่ตัวละครหลักในภาคสองเลยด้วยซ้ำ แต่จู่ ๆ ก็มีหนังแยกออกมา 2 เรื่องที่ประสบความสำเร็จมาก และคนก็ชอบตัวละครนั้นกันมาก นั่นแหละ คือสิ่งที่ผมอยากจะบอก — คุณไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะไปทางไหนต่อ เพราะงั้น ผมก็ตื่นเต้นนะ แล้วก็หวังว่ามันจะยังดำเนินต่อไปในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งแน่นอน แต่อาจจะไม่ใช่ในแบบที่ผู้คนคาดหวังก็ได้ แปลกไหม? คุณคิดว่ายังไงล่ะ?

เวร่า ฟาร์ไมก้า: ฉันมีแต่ความรู้สึกขอบคุณเต็มหัวใจจริงๆ นี่มันเป็นประสบการณ์ที่พิเศษมาก และฉันก็ภูมิใจ ภูมิใจในตัวเรา ภูมิใจในสิ่งที่หนังชุดนี้ได้สร้างเอาไว้ และมันเป็นความรู้สึกที่ดีมากเลย

 

คำถาม: เราคุยกันได้ไหมว่าเรื่องราวใน The Conjuring: Last Rites เกิดขึ้นในช่วงเวลาไหน?

เวร่า ฟาร์ไมก้า: ได้เลย The Conjuring: Last Rites เกิดขึ้นในปี 1986 ซึ่งหมายถึงเหตุการณ์เชอร์โนบิล การเริ่มต้นของคดีอิหร่าน-คอนทรา ยานอวกาศชาเลนเจอร์ระเบิด และคดีของครอบครัวสเมิร์ล

แพทริค วิลสัน: คดีสมิร์ล ใช่ แล้วก็เป็นยุคทองของดนตรีร็อกด้วย

เวร่า ฟาร์ไมก้า: มันเจ๋งมากที่เราได้พัฒนาเรื่องราวมาจนถึงปี 1986 เพราะเราริเริ่มจักรวาล The Conjuring ตั้งแต่ปี 1971

แพทริค วิลสัน: เริ่มตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอ?

เวร่า ฟาร์ไมก้า: Annabelle Comes Home อยู่ในปี 1972

คำถาม: คุณจำปีพวกนี้ได้ขึ้นใจเลยเหรอ? หรือไปหาข้อมูลมาก่อนเราคุยกัน?

เวร่า ฟาร์ไมก้า: ไม่เลย ๆ มันแปะอยู่ตรงเหนือโต๊ะแต่งหน้าฉันเอง เจส (เจสสิกา นีดแฮม ช่างแต่งหน้า) เธอแปะรูปพวกนั้นไว้หมด ฉันก็เลยตามไทม์ไลน์ได้ เช่น The Conjuring อยู่ในปี 1971 แล้ว Annabelle อยู่ปี 1972 ส่วน The Conjuring 2 ก็ปี 1977 แล้วภาคนี้ก็ปี 1986

แพทริค วิลสัน: ใช่ แล้ว The Conjuring 3 อยู่ในปี 1981

เวร่า ฟาร์ไมก้า: มันยอดเยี่ยมมากเลยนะ หมายถึง มันทำให้เราแก่ไปอย่างสง่างามกับบทบาทพวกนี้ได้ง่ายขึ้น คุณจะเห็นได้จากริ้วรอยบนใบหน้า เห็นผมหงอกของฉัน เห็นความสบายใจที่เรามีต่อกัน และความมั่นใจในบทบาทของเรา มันเป็นอะไรที่สนุกมาก ที่ได้เติบโตไปพร้อมกับยุคสมัยต่างๆ ได้สำรวจทั้งแฟชั่น ทรงผมของแต่ละยุค แต่ใช่เลย ปี 1986 แล้วล่ะ!

 

คำถาม: พูดถึงการได้ร่วมงานกับผู้กำกับ ไมเคิล เชเวส หน่อย

เวร่า ฟาร์ไมก้า: เชเวสนำความสุขมาเต็มเปี่ยมเลย เขาเต็มไปด้วยความสุข ความสามารถของเขาในการรู้สึกถึงความสุข และแสดงมันออกมา นั่นแหละคือสิ่งที่สวยงามที่สุดเกี่ยวกับเชเวส คือแค่ฉันหมุนตัวช้าๆ 180 องศา เขาก็ทำให้ฉันรู้สึกว่านั่นเป็นการหมุนหัวที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา แล้วเขาก็แสดงความตื่นเต้นออกมาแบบสุดๆ

แพทริค วิลสัน: “ไหนล่ะมุมไอคอนิก…? อ๊ะ นั่นแหละ มุมไอคอนิกของเธอ!”

เวร่า ฟาร์ไมก้า: แล้วระหว่างที่ฉันต้องคงสีหน้าให้นิ่ง เขาก็แสดงอารมณ์แบบสุดตัวอยู่ไกล ๆ เขานี่ช่างสดใสร่าเริงจริง ๆ แล้วเขาก็อินกับฉากน่ากลัวพวกนี้มาก ๆ วิธีที่เขานำทางเราผ่านฉากพวกนั้น…

แพทริค วิลสัน: แล้วในแง่มืออาชีพ ตอนนี้เขาก็ทำหนังสยองขวัญมาแล้วสี่เรื่อง เขามีความมั่นใจมากขึ้น ความมั่นใจของเขา ความหลงใหลของเขา และเขาก็ผลักดันตัวเองด้านเทคนิคตลอด ซึ่งผมว่ามันยอดเยี่ยมมาก เขาอยู่ในจุดที่ดีมากสำหรับคนที่เคารพในแฟรนไชส์นี้ แต่ก็ยังสามารถใส่ความหลงใหล ทักษะ และสิ่งที่เขาเรียนรู้มาตลอดเส้นทางลงไปได้ และเขาก็ยังคงถามตัวเองว่า “เราจะพัฒนาตัวเองไปได้อีกแค่ไหน?” นั่นแหละคือเชเวสที่เราได้ร่วมงานในครั้งนี้ ซึ่งมันน่าตื่นเต้นมากจริงๆ

 

ร่วมพูดคุยกับ มีอา ทอมลินสัน ผู้รับบท จูดี้ วอร์เรน…

เกี่ยวกับตัวละครและจูดี้ตัวจริง…

มีอา ทอมลินสัน: ฉันมีโอกาสได้พบและพูดคุยกับจูดี้ วอร์เรนตัวจริง ซึ่งเธอก็มาที่กองถ่ายด้วย และฉันก็ได้ไปทานอาหารเย็นกับเธอด้วยค่ะ ฉันอยากพัฒนาคาแรกเตอร์ของจูดี้ให้มีความเป็นเอกลักษณ์และสอดคล้องกับบทในบทภาพยนตร์ ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็ใกล้เคียงกับตัวตนของจูดี้มากอยู่แล้ว แต่ก็มีบางองค์ประกอบที่เราต้องปรับให้เข้ากับการแสดง และเมื่อได้เจอจูดี้ตัวจริง ฉันก็สามารถหยิบยืมสิ่งที่เธอเป็น สิ่งที่เธอให้ความสำคัญ มาสร้างเป็นตัวละครเพื่อให้มันดูสมจริงยิ่งขึ้นค่ะ เธอเป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอย่างมากเลยค่ะ

สำหรับตัวละครจูดี้ เธอมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะใช้ชีวิตแบบปกติธรรมดา การแต่งงานกับโทนี่ และจินตนาการถึงอนาคตที่มีลูก มีครอบครัวของตัวเอง เธอรักความเรียบง่ายของชีวิต และนั่นก็เป็นสิ่งที่น่าขำอยู่หน่อย ๆ เพราะเธอกลับต้องมาอยู่ในชีวิตที่ตรงกันข้าม โดยมีพ่อแม่เป็นนักปราบปีศาจที่คลุกคลีอยู่กับเรื่องเหนือธรรมชาติ เธอเป็นคนที่มีความกลัวอยู่ลึกๆ และหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปยุ่งกับโลกแบบนั้นมากเกินไป

สิ่งนี้ไม่ใช่แค่ในตัวละครเท่านั้น แต่มันยังสะท้อนถึงจูดี้ตัวจริงด้วย เราได้เห็นเรื่องนี้ในหนังเรื่องนี้เลย การเติบโตของผู้หญิงคนหนึ่ง การก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ และการที่เธอสามารถเอาชนะความกลัวนั้นและนำมันมาใช้ให้เกิดพลัง มันคือความกลัวที่ว่า “ฉันจะทำมันได้จริงหรือเปล่า?” มันเป็นเหมือนกับต้นแบบของตัวละครฮีโร่คลาสสิก คุณต้องเดินผ่านป่าที่มืดมิดที่สุดก่อนจะไปถึงปลายทาง คุณต้องเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง และนั่นแหละคือสิ่งที่จูดี้ทำ ดังนั้นเราจะได้เห็นความกล้าหาญมากมายในตัวเธอในหนังเรื่องนี้

สุดท้ายในฐานะนักแสดง ฉันคิดว่าหน้าที่ของเราคือการค้นหาส่วนหนึ่งของตัวเองในตัวละคร ค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ในตัวละคร แล้วหาจุดกึ่งกลางที่ลงตัว เป็นการผสมผสานกันอย่างพอดีระหว่างตัวเรา ตัวละคร และความจริงที่มีอยู่ มันเป็นความรับผิดชอบสำหรับนักแสดงที่ต้องถ่ายทอดบุคคลจริง ฉันรู้สึกแบบนั้น ฉันสวมสร้อยข้อมือของจูดี้จริงๆ ในหนังด้วย เป็นการเติมแต่งเล็กๆ น้อยๆ จากฉัน และเป็นการแสดงความเคารพต่อเธอด้วยค่ะ

 

การสำรวจครอบครัว…

มีอา ทอมลินสัน: ใน The Conjuring: Last Rites เราจะได้เห็นมุมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับครอบครัววอร์เรนในฐานะ “ครอบครัวส่วนตัว” เราเคยเห็นพวกเขาบางส่วนมาก่อนหน้านี้ แต่เรายังไม่เคยได้เข้าไปสำรวจว่า “พวกเขาเป็นครอบครัวแบบไหน” อย่างที่เราได้ทำในภาคนี้เลยค่ะ

เราจะได้เห็นเอ็ดและลอเรนในบทบาทของพ่อแม่ที่มีต่อลูกสาวของพวกเขา โดยเฉพาะสายสัมพันธ์แม่ลูกแบบคลาสสิกที่แข็งแกร่ง ทั้งความผูกพันและความตึงเครียดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เมื่อตัวแม่เองมีสัญชาตญาณดิบที่จะปกป้องลูกสาว ซึ่งในบางครั้งสิ่งนั้นก็กลายเป็นอุปสรรคไปโดยไม่รู้ตัว ความพยายามที่จะปกป้องลูกจากความโหดร้ายของโลก บางทีมันกลับกลายเป็นการกักขังลูกไว้ด้วยความรัก สำหรับลอเรนและจูดี้ มันคือเรื่องของการเติบโตไปพร้อมกับการค้นพบว่าจูดี้ทำได้นะ มันเป็นเรื่องราวที่งดงามมากระหว่างคนสองคนนี้ และความเชื่อมโยงลึกซึ้งที่พวกเขามีต่อกันค่ะ

การได้ร่วมงานกับเวราคือที่สุด เรามีเสียงหัวเราะแบบเดียวกันเลย เธอเป็นคนที่มีอารมณ์ขันยอดเยี่ยมมาก ฉันรักทุกนาทีที่ได้ทำงานกับเธอจริงๆ และสิ่งนั้นช่วยเติมเต็มการแสดง เพราะฉันรู้สึกถึงสายใยความเป็นแม่ในตัวเธอได้โดยธรรมชาติ เธอเป็นคนที่มีความห่วงใยและเอื้อเฟื้อมาก มันทำให้การถ่ายทอดความสัมพันธ์ของตัวละครเราสองคนออกมาง่ายมากเลย

 

เกี่ยวกับโทนี่ และเบน ฮาร์ดี้…

มีอา ทอมลินสัน: ครั้งแรกที่ฉันเจอเบนคือตอนที่ไปทำการทดสอบเคมีระหว่างนักแสดงที่จะรับบทคู่กัน ตอนนั้นเขาพูดด้วยสำเนียงอเมริกันตลอดเวลา ฉันนึกว่าเขาเป็นนักแสดงอเมริกันชื่อดังซะอีก (หัวเราะ) ตอนนั้นฉันยังไม่เคยดู Bohemian Rhapsody ด้วยซ้ำ ต่อมา พอเขาได้รับบทนี้อย่างเป็นทางการ เราก็มีการคุยกันผ่าน Zoom แล้วเราก็เริ่มไล่เรียงกันถึงเรื่องราวเบื้องหลังตัวละครที่เราสร้างขึ้นไว้ ตอนนั้นฉันได้คุยกับทั้งจูดี้และโทนี่ตัวจริงมาแล้วด้วยนะ เราก็เลยสามารถแชร์ข้อมูลกันได้ เราช่วยกันสร้างฉากเล็กๆ ขึ้นมา เช่น ฉากเดทแรกของเราเป็นยังไง เป็นต้น สุดท้ายเราก็สร้างเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมาเต็มไปหมด ซูมครั้งนั้นยาวสองชั่วโมงเลยค่ะ

มันน่าสนใจมาก เพราะทุกอย่างที่เบนพัฒนาขึ้นด้วยตัวเอง มันกลับตรงกับสิ่งที่ฉันทำไว้ก่อนหน้านั้นอย่างน่าทึ่ง เหนือสิ่งอื่นใด โทนี่คือคนที่คอยสนับสนุนจูดี้ค่ะ มีจุดหนึ่งที่จูดี้รู้ว่า ความปกป้องของลอเรนในฐานะแม่ มันทำให้เธอไม่สามารถเล่าเรื่องบางอย่างที่เธอกำลังเผชิญอยู่ให้แม่ฟังได้ เพราะเธอไม่อยากให้แม่ต้องกังวล ดังนั้น โทนี่จึงกลายเป็นคนที่เธอพึ่งพาในเรื่องความปลอดภัยและการปลอบโยน เขาเป็นคนที่เธอสามารถพิงได้ เป็นคนที่เข้าใจเธอ ไม่ตัดสิน และกล้าหาญ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ปรากฏชัดในวิธีที่เบนแสดงออกมาในหนังเลยค่ะ มันเยี่ยมมากจริงๆ

 

การทำงานกับไมเคิล เชฟส์…

มีอา ทอมลินสัน: ไมเคิล เชฟส์เป็นพวก “เนิร์ดหนังสยองขวัญ” ตัวจริงเลยค่ะ และเขาหลงใหลในหนังแนวนี้มาก ซึ่งเราทุกคนก็ชอบมากเหมือนกัน เขารู้จริงในสิ่งที่ทำ และฉันคิดว่านักแสดงจะมีแพสชันได้มากแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้กำกับมีแพสชันแค่ไหน  ซึ่งเชฟส์มีเต็มเปี่ยมเลยค่ะ

เขารู้เลยว่าเขาอยากให้ภาพมันออกมาแบบไหน เขาชอบทดลอง กล้าทำอะไรใหม่ๆ และฉันสนุกมากกับการได้ทำงานกับเขา เขาเปิดกว้างสุด ๆ พร้อมจะเปลี่ยนแปลงหรือขยับอะไรให้ดีขึ้นเสมอ ไม่มีฉากไหนที่ถ่ายทำเหมือนกันเลย  มุมกล้องแตกต่างกัน โครงสร้างการถ่ายต่างกัน การเคลื่อนกล้องก็ต่างกันหมด มันเป็นกระบวนการที่สร้างสรรค์มาก และก็เป็นการทำงานร่วมกันอย่างแท้จริง

ทุกคนในทีมรู้สึกอิสระที่จะเสนอความคิดเห็น ตั้งคำถาม หรือเพิ่มไอเดียอะไรบางอย่างเข้าไป เชฟส์เป็นผู้กำกับที่ให้ความร่วมมือดีมาก ในฐานะนักแสดง มันยอดเยี่ยมมากเลยค่ะที่ได้ทำงานกับเขา เพราะคุณจะรู้สึกตลอดเวลาว่าคุณมีอะไรบางอย่างที่สามารถใส่ลงไปในงานนี้ได้

 

พูดคุยกับเบน ฮาร์ดี้ ผู้รับบท “โทนี่ สเปรา”

การรับบทโทนี่…

เบน ฮาร์ดี้: พูดตรงๆ เลยนะครับ ตอนที่รู้ว่าผมได้เล่นเป็นโทนี่ ผมตื่นเต้นสุด ๆ ที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของแฟรนไชส์นี้เลย แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมยังดูหนังไม่ครบทุกภาค ตอนนั้นผมเคยดูภาคแรกแล้ว และมันทำให้ผมกลัวมาก ถึงขนาดที่ผมเลี่ยงไม่ดูภาคอื่นเลย (หัวเราะ) ผมไม่เคยแสดงหนังสยองขวัญมาก่อนด้วย ซึ่งในฐานะนักแสดง มันเป็นอะไรที่ผมอยากลองดูสักครั้ง The Conjuring เป็นแฟรนไชส์ที่ได้รับความเคารพและยอมรับอย่างมาก ซึ่งมันก็สมเหตุสมผลนะ เพราะหนังพวกนี้คุณภาพดีจริงๆ ผมก็เลยอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งของมันมาก

สำหรับตัวโทนี่ ผมมองว่าเขาเป็นเหมือนตัวเบรกความตึงเครียด หรือแสงสว่างเล็กๆ ในหนัง เขาเข้ามาพร้อมพลังบวก สนุกสนาน เพราะเขามีความไร้เดียงสา เขาไม่รู้เลยว่าโลกที่เขากำลังก้าวเข้ามาเกี่ยวข้องนั้นมันน่ากลัวแค่ไหน โทนี่เป็นคนที่เข้ามาแบบตาใส ใบหน้าใสๆ และไม่รู้อะไรเกี่ยวกับครอบครัววอร์เรนเลย นอกจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่จูดี้เล่าให้ฟังเท่านั้นเอง และผมคิดว่า “การเดินทางของโทนี่” ตลอดทั้งเรื่อง ก็คือการพยายามพิสูจน์ให้เอ็ดเห็นว่า เขาไม่เพียงพอสำหรับลูกสาวของเอ็ดเท่านั้น แต่เขายังสามารถรับมือกับโลกที่ครอบครัวนี้ต้องเผชิญได้… ซึ่งเป็นโลกที่แปลกใหม่สำหรับโทนี่โดยสิ้นเชิง

 

การสร้างตัวละคร…

เบน ฮาร์ดี้: ตอนเริ่มต้น ผมลงลึกไปในยุค 80’s แบบจริงจังเลยครับ จริงๆ แล้วผมเข้าร่วมโปรเจกต์นี้ค่อนข้างช้า เลยไม่มีโอกาสได้เจอกับโทนี่ สเปราตัวจริงจนกระทั่งก่อนเริ่มถ่ายทำเพียงไม่นาน ซึ่งตอนนั้นผมก็ได้สร้างตัวตนของ โทนี่เวอร์ชันของผมไว้เรียบร้อยแล้ว ผมได้เจอและคุยกับเขาอยู่บ้างนะครับ และก็พยายามหยิบเอาอัญมณีเล็กๆ จากคำพูดหรือท่าทีบางอย่างของเขามาใส่ไว้ในการแสดง แต่โดยรวมแล้ว ตัวโทนี่ที่ผมเล่นก็เป็นเวอร์ชันที่ค่อนข้างแต่งเติมและมีความเป็นตัวละครสมมติอยู่พอสมควรเลย สิ่งที่ผมสนุกมากคือการลงลึกในวัฒนธรรมยุค 80’s ผมคุยกับพ่อเกี่ยวกับเพลงที่เขาฟังตอนนั้น มันกลายเป็นช่วงเวลาที่ดีระหว่างพ่อลูกเลยครับ ได้แชร์กัน แต่เพลงที่พ่อผมฟังส่วนใหญ่ก็เป็นสไตล์ของคนอังกฤษ ผมก็เลยต้องหาทางไปสายอเมริกันมากขึ้น เพื่อให้เข้ากับบทและบริบทของตัวละคร ผมใช้บทภาพยนตร์เป็นพื้นฐานในการสร้างตัวตนของโทนี่ขึ้นมา ควบคู่ไปกับการพูดคุยกับไมเคิล เชฟส์ ผู้กำกับที่ยอดเยี่ยมมาก และแน่นอนว่ากับมีอา ทอมลินสัน ผู้รับบทจูดี้ด้วย ทั้งหมดนี้แหละครับคือกระบวนการที่นำเราไปสู่ตัวละครโทนี่ที่คุณเห็นในหนัง

 

ความสัมพันธ์ระหว่างโทนี่กับจูดี้…
เบน ฮาร์ดี้: จูดี้ วอร์เรนได้รับพรสวรรค์จากลอเรนมา — ซึ่งโทนี่เองในตอนแรกก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่ 

เขารู้แค่ว่าเธอสามารถรับรู้บางอย่างได้ด้วยสัญชาตญาณ และเธอเป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจสูงมาก ตอนที่เราทำงานกันเพื่อพัฒนาคาแรกเตอร์และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ เราคุยกันถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น ถ้าพวกเขาเข้าไปในร้านอาหาร แล้วจูดี้รู้สึกได้ถึงพลังงานไม่ดี หรือบรรยากาศแปลก พวกเขาก็จะลุกออกเลย อะไรทำนองนั้นครับ เป็นเรื่องที่อิงจากสัญชาตญาณของเธอ

สำหรับโทนี่ ผมคิดว่าเขาเป็นคนโรแมนติกเลยนะครับ เขาตกหลุมรักจูดี้ตั้งแต่แรกเห็นเลยด้วยซ้ำ ในหัวเขาคงคิดว่า “เธอนี่แหละ คนของฉัน คนที่ฉันอยากใช้ชีวิตด้วย” เขาอยากอยู่เคียงข้างเธอ ไม่ว่าเธอจะต้องเจอกับอะไร และผมคิดว่าจูดี้เองก็เห็นในตัวโทนี่ว่า เขาเป็นคนที่พร้อมจะสนับสนุนเธอ พร้อมเปิดใจรับความสามารถของเธอ และโลกใหม่ของครอบครัววอร์เรน ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นโลกที่ผู้ชายหลายคนอาจหนีหายไปเลยด้วยซ้ำ

 

อะไรที่ทำให้จักรวาล The Conjuring แตกต่าง

เบน ฮาร์ดี้: ผมคิดว่าสิ่งที่ทำให้หนังในจักรวาล The Conjuring มีความพิเศษคือ มันมีรากฐานจากความจริง และผมว่าใครๆ ก็ชอบเรื่องจริงกันทั้งนั้น จริงไหม? อีกอย่างหนึ่งคือ หนังพวกนี้ผูกโยงกับศรัทธาอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วโลกเข้าถึงได้ง่าย มันคือธีมที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ความดีปะทะความชั่ว และเมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกถ่ายทอดผ่านเรื่องราวที่อิงจากเหตุการณ์จริง ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อว่ามันเกิดขึ้นจริง แต่มันเคยเกิดขึ้นจริงในเชิงสื่อสารมวลชน เป็นเหตุการณ์ที่ถูกพูดถึงจริง ๆ ในสมัยนั้น การได้นำสิ่งเหล่านั้นมาเล่าใหม่ในหนัง มันยกระดับความน่ากลัวไปอีกขั้นเลยครับ เพราะมันทำให้เรื่องแต่งดูเหมือนจริงขึ้นมาอีกระดับ

และเมื่อคุณอยู่ในหนังแนวสยองขวัญ ความใกล้ชิดกับความเป็นจริงแบบนี้แหละ ที่ทำให้มันน่ากลัวอย่างแท้จริง

นั่นแหละครับคือสิ่งที่ดึงดูดผมให้มาสนใจหนังชุดนี้ เหมือนกับคนดูอีกมากมาย และพอหนังพวกนี้ได้ถูกนำแสดงโดยนักแสดงที่มีฝีมือสูงอย่างแพทริค วิลสัน กับเวรา ฟาร์ไมก้า  ผมนี่เป็นแฟนผลงานของทั้งคู่มานานเลยครับ — มันก็ยิ่งทำให้ผมคิดว่า ทำไมคุณจะไม่อยากดูหนังพวกนี้ล่ะ และทำไมคุณจะไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของหนังแบบนี้เหมือนที่ผมทำ

 

เกี่ยวกับ The Conjuring: Last Rites / บันทึกจากกองถ่าย

 

ครอบครัววอร์เรน

  • พอล ฮาวเวิร์ด ผู้ดูแลสถานที่ถ่ายทำ ค้นพบบ้านยุคเก่าที่เหมาะสมที่สุดมาใช้แทนบ้านของวอร์เรน โดยจำลองบรรยากาศรัฐคอนเนตทิคัตในช่วงปี 1970-80s มาไว้ในเขตเฮิร์ตฟอร์ดเชอร์ ประเทศอังกฤษ ถนนเข้าโครงการยาวทอดตัวไปยังบ้านสถาปัตยกรรมสมัยใหม่รูปทรงต่ำที่โดดเด่น ซึ่งถูกปรับเปลี่ยนผิวภายนอกให้ดูคล้ายบ้านของวอร์เรนมากขึ้น บ้านหลังนี้มีรายละเอียดแบบยุคสมัย เช่น หน้าต่างกระจกบานเดี่ยวแท้ และตั้งอยู่บนพื้นที่จัดสวนอย่างเรียบร้อย โรงจอดรถด้านหน้าเป็นจุดเด่นของครอบครัว ที่เอ็ดมักจะใช้ดูแลมอเตอร์ไซค์และรถยนต์คู่ใจของเขา นอกจากนี้ยังมีโต๊ะปิงปองเสริมเข้าไป ทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นห้องเล่นเกมของครอบครัวด้วย

 

  • คา ธี เฟเธอร์สโตน ผู้ดูแลตกแต่งกองถ่าย ได้นำบ้านวอร์เรนให้มีชีวิตชีวาขึ้นด้วยการตกแต่งภายในแบบยุคสมัย อุปกรณ์ครัว บรรจุภัณฑ์อาหาร การจัดโต๊ะ เครื่องประดับ และเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ทำให้เหล่านักแสดงและทีมงานหลายคนหวนคิดถึงบ้านของตัวเองในยุค 1980s

 

  • ห้องนอนวัยเด็กของจูดี้ในบ้านวอร์เรนเป็นการผสมผสานที่น่ารักระหว่างสีพาสเทลของเด็กผู้หญิงและของสะสมในวัยรุ่น — ทีมออกแบบสร้างบรรยากาศได้อย่างสมบูรณ์ด้วยหนังสือคลาสสิก บัตรคอนเสิร์ตที่ระลึก โปสเตอร์เพลงร็อกยุค 1980s รูปถ่ายวันรับปริญญาของจูดี้ และภาพถ่ายสมัครเล่น (ซึ่งเป็นงานอดิเรกของเธอ) ทั้งหมดนี้ถูกนำมาใช้ในการตกแต่งและพร็อพ ชุดถ่ายทำนี้ยังช่วยปรับโทนให้ฉากในครอบครัววอร์เรนดูอบอุ่นและเป็นกันเองมากขึ้น

 

  • วันแรกที่ถ่ายทำในสตูดิโอ Bovingdon ใช้ฉากร้านของเก่าที่น่าขนลุกสำหรับฉากแฟลชแบ็คของเอ็ดและลอเรนในวัยหนุ่มสาว ในหนึ่งในคดีแรก ๆ ของพวกเขา พวกเขาถูกเรียกตัวไปสอบสวนพ่อค้าของเก่าที่ฆ่าตัวตายในห้องเก็บของ ร้านของเก่านี้เป็นฉากในฝันสำหรับจักรวาล The Conjuring ที่เต็มไปด้วยโบราณวัตถุ เฟอร์นิเจอร์ และผนังนาฬิกาหลากหลายเรือน สิ่งของวินเทจเหล่านี้ชิ้นไหนกันนะที่เป็นกุญแจสำคัญให้พ่อค้าของเก่ามีพฤติกรรมแปลกประหลาดและเสียชีวิต เอ็ดใช้เครื่องบันทึกเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาบันทึกคำให้การจากลูกสาวของพ่อค้า

 

  • ฝ่ายศิลป์และพร็อพสร้างกระจกไม้แกะสลักขนาดงดงามที่มีหัวเทวดาสามองค์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่มืดมนที่สุดในคอลเลกชันของพ่อค้า “กระจกตัวเอก” ใบนี้แตกร้าวเมื่อโลเรนแตะที่กระจก ส่งผลให้คืนหนึ่งที่มืดมนและดราม่าของคู่หนุ่มสาวเกิดขึ้น

 

  • ในใจกลางลอนดอน ณ เชิง Royal Albert Hall หอพักนักศึกษาของ Imperial College ชื่อ Queen Alexandra Halls ถูกใช้เป็นฉากแทนเมืองฟิลาเดลเฟีย — อาคารอิฐแดงด้านนอกทำหน้าที่เป็นสำนักงานใหญ่สังฆมณฑลคาทอลิก โดยภายในก็จำลองบรรยากาศเดียวกัน บันไดวนภายในที่สวยงามทำให้นึกถึงภาพยนตร์ “Vertigo” ของฮิทช์ค็อก Queen Alexandra Halls สร้างขึ้นในปี 1884 โดยได้รับทุนจากเซอร์ฟรานซิส คุก ผู้ผลิตเครื่องปั้นดินเผาเฮนรี ดอลตันเป็นผู้จัดหาเครื่องเคลือบดินเผาตกแต่งในห้องโถงทางเข้า เตาผิงในห้องรับแขก และผนังกระเบื้องในห้องอาหาร Coalbrookdale & Co. จัดทำบันไดเหล็กเปิดที่มีเสาสนับสนุนลวดลายบางเฉียบ อาคารนี้ได้รับการขึ้นทะเบียน Grade II และเป็นส่วนสำคัญของมรดกทางประวัติศาสตร์ของลอนดอน

 

  • ที่ Imperial College ในห้องบรรยาย Blackett Laboratory เอ็ดและลอเรนได้บรรยายในโรงละครที่แทบจะว่างเปล่า อาคารนี้สร้างขึ้นระหว่างปี 1957 ถึง 1961 โดยมีผนังไม้ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมในยุคนั้น

 

  • ในวันที่ฝนตกในฤดูใบไม้ร่วงแบบที่เป็นภาพจำของคนทั่วไป สวนสาธารณะ Cassiobury Park ในเมืองวัตฟอร์ดถูกเปลี่ยนเป็นฉากสุสานที่ดูเศร้าหมอง ผู้ไว้อาลัยเดินจากรถไปยังข้างหลุมฝังศพตามถนนที่เรียงรายด้วยต้นไม้และมีหมอกจาง ๆ สภาพอากาศแบบนี้ของอังกฤษช่วยเติมบรรยากาศด้วยท้องฟ้าสีเทาที่เหมาะกับฉาก หลุมศพดึงดูดความสนใจจากคนพาหมามาเดินเล่น ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวที่กล้าฝ่าฝนนี้ออกมา

 

  • ในช่วงเวลาที่เรียกว่า magic hour บนพื้นที่ถ่ายทำหลังบ้าน ทีมงานได้เห็นฉากครอบครัวที่น่าหลงใหลบนม้าหมุนกับเอ็ด ลอเรน และจูดี้วัยเด็กในช่วงเวลาสบาย ๆ จากอดีต ทีมงานต้องจัดการกับแสงสะท้อน ม้าทาสีแบบดั้งเดิม และความท้าทายของม้าหมุนที่ทำงานจริง เพื่อถ่ายฉากแฟลชแบ็คนี้ให้ออกมาสมบูรณ์

 

  • ห้องเก็บวัตถุโบราณที่โดดเด่นของครอบครัววอร์เรนถูกจำลองขึ้นอย่างประณีตบนเวทีที่ Bovingdon Airfield Studios ทีมพร็อพ ผู้ตกแต่งฉาก และทีมเอฟเฟกต์พิเศษร่วมมือกันจัดวางของสะสมที่เป็นที่รู้จักและรักจากคดีต่าง ๆ ไว้บนชั้นอย่างเต็มที่ เช่น ชุดเกราะซามูไร ภาพวาดวาลัค กล่องดนตรี ของเล่นลิง ถ้วยแม่มด ชายคด และแน่นอนว่าแอนนาเบลล์ก็ปรากฏอยู่ในฉากด้วย

 

  • ในงานฉลองวันเกิดครบรอบ 50 ปีของเอ็ด ครอบครัวจัดงานบาร์บีคิวกันที่สนามหลังบ้าน โดยมีจูดี้ วอร์เรน สเปรา ตัวจริงและโทนี่ สเปรา ปรากฏตัวในฉากรับเชิญ

 

  • นักออกแบบเครื่องแต่งกาย เกรแฮม เชอร์ชยาร์ด นำแฟชั่นยุค 1970s สู่ยุค 1980s อย่างลงตัว โดยเน้นความชื่นชอบลวดลายของลอเรนอย่างเต็มที่ เชอร์ชยาร์ดทำงานอย่างรอบคอบเพื่อรักษาความสมดุลแฟชั่นยุค 1980s โดยไม่ละทิ้งโทนสีธรรมชาติและเรียบง่ายที่เป็นเอกลักษณ์ของจักรวาล The Conjuring เขาเลือกใช้ผ้า ลวดลาย และรูปทรงของยุคนั้น แต่ยังคงให้โทนสีอ่อนและไม่ฉูดฉาด เพื่อให้สอดคล้องกับโลกของ The Conjuring
  • ในฉากซึ้ง ๆ ของแม่และลูกสาว เราได้เห็นภาพแรกของชุดเจ้าสาวของจูดี้ (สร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด) ขณะที่ลอเรนช่วยเธอจัดผ้าคลุมหน้าและแต่งหน้า ชุดแต่งงานนี้ยังคงสไตล์คลาสสิกของคริสตจักรโรมันคาทอลิก โดยมีคอเสื้อปักลูกไม้สูงและแขนยาว เชอร์ชยาร์ดตั้งใจหลีกเลี่ยงแขนเสื้อพองและสไตล์เจ้าหญิงยุค 1980s เพื่อสร้างชุดที่ดูสง่างามและเรียบหรู

 

ครอบครัวสเมิร์ล 

  • บ้านของครอบครัวสเมิร์ลถูกสร้างขึ้นในสามช่วงที่ Bovingdon Studios ในเมือง Hertfordshire และบริเวณหลังสตูดิโอ ชั้นล่างมีเฉลียงด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมทางเดินเข้าสู่ห้องครัวและบันไดขึ้นชั้นบน ห้องครัวและห้องนั่งเล่นแบบเปิดโล่งช่วยให้ตัวละครสามารถเข้าออกจากหลายมุมได้ เด็กๆ วิ่งเล่นไปมา และสร้างบรรยากาศลุ้นระทึกได้ ห้องครัวมีห้องเก็บของและโทรศัพท์ครัวสไตล์ยุค 1980 ที่มีสายยาว ชั้นบนเป็นทางเดินแคบที่เชื่อมไปยังห้องนอนของครอบครัวสเมิร์ล เด็กสาวคนเล็กสุดของบ้านแชร์ห้องที่เต็มไปด้วยของเล่น ขณะที่ดอนและฮีเธอร์แชร์ห้องวัยรุ่น ประตูชั้นใต้หลังคาและบันไดพับลงเป็นฉากสยองขวัญคลาสสิก

 

  • ทีมก่อสร้างใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการสร้างห้องใต้หลังคาไม้คานขนาดใหญ่ของบ้าน เพื่อสร้างพื้นที่ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศ ห้องใต้หลังคาเก็บเฟอร์นิเจอร์และของเล่นที่ถูกทิ้งไว้ พื้นที่ตรงกลางยังอยู่ในระหว่างการปรับปรุง โดยแจ็ค สเมิร์ล พ่อบ้านกำลังทำงานซ่อมแซมไม้กระดานที่ยังไม่แน่น ซึ่งตัวละครต้องเดินผ่านอย่างระมัดระวัง
  • บ้านสเมิร์ลตกแต่งด้วยของตกแต่งจากยุค 1970s เฟอร์นิเจอร์สไตล์ mid-century modern วอลเปเปอร์ลายดอกไม้และลวดลายต่างๆ ตู้เย็นสีเขียวอโวคาโด และเก้าอี้ครัวไม้แบบที่รู้จักกันดี โทนสีเน้นโทนธรรมชาติ เช่น สีน้ำตาล เขียว และเหลืองทอง ซึ่งโดยบังเอิญช่วยเพิ่มบรรยากาศบ้านผีสิงได้อย่างดี

 

  • หลังจากที่ฮีเธอร์ สเมิร์ล ยืนยันเรื่องเหนือธรรมชาติ ครอบครัวเฉลิมฉลองที่บ้าน ปู่ย่าตายายมอบของขวัญเป็นกระจกกรอบไม้แกะสลักสวยงาม ซึ่งเป็นของที่ผู้ชมรู้จักจากช่วงต้นของหนัง

 

  • บ้านสเมิร์ลดูทรุดโทรมลงตามเรื่องราวที่ดำเนินไป เหตุการณ์ผีสิงทำให้เกิดร่องรอยความเสียหายที่เห็นได้ชัดรอบๆ บ้าน รวมถึงสภาพของครอบครัวที่มีบาดแผลและเหนื่อยล้า

 

  • สำหรับฉากภายนอกของบ้านสเมิร์ล ทีมงานสร้างถนนจำลองของพิตต์สเบิร์กในบริเวณหลังสตูดิโอที่ Bovingdon โดยสร้างแถวบ้านไม้แบบอเมริกัน มีสนามหน้าบ้าน ต้นไม้ ถนน ทางเท้า และรถยนต์ยุค 1980 มากมาย ต่อมาเมื่อประสบการณ์เหนือธรรมชาติของครอบครัวกลายเป็นเรื่องที่สาธารณะสนใจ ถนนสายนี้จึงเต็มไปด้วยแฟนข่าว ทีมกล้อง และนักข่าวโทรทัศน์ที่ตามติดครอบครัว รวมถึงการมาถึงของครอบครัววอร์เรน

 

  • โดยอ้างอิงจากภาพถ่ายเก่าของครอบครัวสเมิร์ลจริง ฝ่ายออกแบบเครื่องแต่งกายได้สร้างลุคยุค 1980 ของครอบครัวขึ้นมาใหม่ รวมถึงลายบนเสื้อสเวตเตอร์ของดอน ลูกสาวสเมิร์ลทั้งหลายมีลักษณะคล้ายกับตัวจริงที่พวกเขาแสดงอย่างน่าทึ่ง

 

เรื่องชวนขนลุก

  • ผู้กำกับภาพอีไล บอร์น และผู้กำกับไมเคิล ชาเวสใช้แสงไฟจริงภายในฉาก ในช่วงหนึ่ง เมื่อไฟดับที่บ้านสเมิร์ล บรรยากาศตึงเครียดถูกสร้างขึ้นด้วยไฟฉายและไฟทำงานฉุกเฉิน รวมถึงแสงจากโคมไฟถนนที่ลอดผ่านหน้าต่างและประตู พร้อมกับเสียงฟ้าร้องจากพายุข้างนอก ในช่วงนั้น ม้าหมุนของเล่นเพิ่มความตึงเครียด ด้วยการสะท้อนเงาน่ากลัวบนใบหน้าของตัวละครในห้อง เพื่อดึงผู้ชมเข้าสู่ช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยเงามืด นักแสดงถูกถ่ายในระยะใกล้โดยใช้ Steadicam และกล้องถือด้วยมือ

 

  • บางครั้งวิธีที่เรียบง่ายที่สุดกลับมีประสิทธิภาพมากที่สุด ในฉากก่อนหน้านี้เมื่อฝาแฝดดึงสายโทรศัพท์ยาวออกมาจากความมืดในห้องเก็บของ แม่แจนเน็ตต์รู้สึกตกใจอย่างมากเมื่อมีแรงลึกลับมาเล่นตลกแบบเดียวกันกับเธอในเวลาต่อมา ซึ่งฉากนี้ถ่ายในครั้งเดียวโดยมีสมาชิกทีม SFX แอบซ่อนตัวในห้องเก็บของ

 

  • สำหรับวิสัยทัศน์น่ากลัวของโลเรนที่ซิงค์ล้างจานในบ้านวอร์เรน ส่วนหนึ่งของห้องครัวถูกสร้างใหม่บนสเตจเสียงที่ Bovingdon ทีม SFX ติดตั้งซิงค์ด้วยเอฟเฟกต์เลือดเดือดจริงที่ไหลขึ้นมาจากรูปลั๊ก และล้นขอบเคาน์เตอร์ลงพื้น (ระบบแรงดันส่งเลือดผ่านท่อขนาดสองนิ้วสี่ท่อ พร้อมตัวกระจายแบบหมวกทรงสูงสี่อัน) เอฟเฟกต์นี้ถูกทำซ้ำหลายครั้ง โดยทีม SFX ดูดเลือดกลับหลังถ่ายแต่ละเทค

 

  • ฉากการต่อสู้กับกระจกปีศาจเป็นฉากซับซ้อนสำหรับทีมสตันท์ กล้อง และ SFX (โดยมี VFX ช่วยเติมเต็มในตอนท้าย) ชาเวสทำงานร่วมกับทีมงานและนักแสดงเพื่อจัดท่าเต้นฉากที่ซับซ้อนและแบ่งเป็นหลายส่วน ทีม SFX สร้างอุปกรณ์ให้กระจกหมุนสะท้อนแสงทั่วทั้งฉากและนักแสดง สร้างจังหวะดราม่าขณะที่กระจกต่อต้านความพยายามของวอร์เรนในการขับไล่สิ่งชั่วร้าย

 

  • ฉากห้องใต้ดินถูกสร้างเป็นแท็งก์น้ำตั้งแต่ฐานล่างขึ้นไป สามารถรองรับเลือด SFX ได้ลึกห้านิ้ว ใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงในการเติมเลือดก่อนที่นักแสดง นักสตันท์ และทีมงานจะลงไปถ่ายทำ ฉากนี้ถ่ายด้วย Steadicam เริ่มจากนักสตันท์ก่อน จากนั้นเวร่า ฟาร์ไมก้า ลงไปแสดงเอง

 

  • ทีม SFX สร้างแอนนาเบลล์ใหม่สองตัว และตุ๊กตาซูซี่หุ่นยนต์สองตัวสำหรับหนังเรื่องนี้

 

  • ทีม SFX ผลิตเลือดจำลองถึง 15,500 ลิตรสำหรับหนังเรื่องนี้

 

  • แม้แต่กระจกก็ต้องมีตัวแทน ทีมงานสร้างกระจกขนาดเต็ม 13 บาน รวมถึงกระจก “แอ็คชั่น” 5 บาน (ทำใหญ่กว่าของจริง 5%) สำหรับฉากที่ต้องใช้สตันท์หนัก กระจกเหล่านี้ถูกออกแบบ พิมพ์ 3 มิติ จากนั้นหล่อและทาสี โดยดีไซน์เริ่มต้นได้รับการอนุมัติจากผู้กำกับชาเวส หลังจากใบหน้าทูตที่แกะสลักได้รับลุคว่างเปล่าเฉพาะตัว

 

Loading

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่