A Minecraft Movie – ไมน์คราฟต์ มูฟวี่ | 03 เมษายน 2025

0
118
หมวดหมู่: Action, Adventure, Fantasy
เรทผู้ชม: TBC
 100 นาที
ผู้กำกับ: Jared Hess
นักแสดง
 Jason Momoa
 Jack Black
Emma Myers

“A Minecraft Movie – ไมน์คราฟต์ มูฟวี่ ”

3 เมษายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

A Minecraft Movie | Final Trailer (ซับไทย)

#MinecraftMovie #ไมน์คราฟต์

 

ภาพยนตร์จากวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส และ เลเจนดารี่ พิกเจอร์ส นำแสดงโดยเจสัน โมโมอา และ แจ็ค แบล็ค เรื่อง “A Minecraft Movie” กำกับฯ โดยจาเร็ด เฮส ภาพยนตร์ดัดแปลงจากวีดีโอเกมที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล ไมน์คราฟท์ ในรูปแบบไลฟ์แอ็คชั่นบนจอยักษ์ครั้งแรก  

ภาพยนตร์นำแสดงโดยเอ็มม่า ไมเยอร์ส (“Wednesday”) แดเนียล บรูคส์ ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar (“The Color Purple”) เซบาสเตียน ยูจีน ฮานเซน (“Just Mercy, “Lisey’s Story”) พร้อมด้วยเจนนิเฟอร์ คูลิดจ์

ขอต้อนรับสู่โลกของไมน์คราฟท์ ที่นี่ความสร้างสรรค์ไม่ได้ช่วยคุณแค่การสร้างผลงานขึ้นมา แต่ยังมีผลสำคัญต่อการมีชีวิตอยู่รอดด้วย!  คนที่ดูแปลกตาทั้ง 4 ได้แก่ การ์เร็ตต์ “มนุษย์ไร้ค่า” การ์ริสัน  (โมโมอา),  เฮนรี่ (ฮานเซน), นาตาลี (ไมเยอร์ส) และดอว์น (บรูส์) พบว่าตัวเองต้องต่อสู้กับปัญหาทั่วไป เมื่อพวกเขาถูกดึงเข้าประตูลึกลับสู่โอเวอร์เวิล์ด ซึ่งเป็นดินแดนสุดมหัศจรรย์เหมือนลูกบาศก์ที่พัฒนาตัวขึ้นจากจินตนาการ วิธีที่จะกลับบ้านดื้อพวกเขาต้องหาทางควบคุมโลกใบนี้ (และปกป้องจากสิ่งเลวร้ายทั้งพวกพิกลินส์และซอมบี้) ระหว่างนั้นต้องร่วมทำภารกิจสุดวิเศษกับสตีฟ (แบล็ค) นักประดิษฐ์ผู้มีความชำนาญอย่างคาดไม่ถึง การผจญภัยของพวกเขาจะท้าทายทั้ง 5 คน ให้พวกเขาได้ใช้ความกล้าและดึงความสร้างสรรค์ของแต่ละคนออกมาใช้… พวกเขาต้องอาศัยความสามารถขั้นสูงเพื่อกลับมายังโลกแห่งความจริงให้ได้  

เฮส ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar (“Ninety-Five Senses,” “Nacho Libre”) กำกับฯ จากบทของคริส โบว์แมน แอนด์ ฮับเบล พัลเมอร์ และ นีล ไวดีเนอร์ และ แกวิน เจมส์ และ คริส กาเลตต้า เนื้อเรื่องโดย อลิสัน สโครเดอร์ และ คริส  โบว์แมน และ ฮับเบล พัลเมอร์ สร้างอิงจากวีดีโอเกม Minecraft พร้อมด้วยรอย ลี, จอน เบิร์ก, แมรี่ แพเรนท์, เคล บอยเทอร์, เจสัน โมโมอา, จิล เมสซิค, ทอร์ไฟ ฟรานส์ โอลาฟสัน และ วู บุย อำนวยการสร้างฯ โดยมีทอดด์ ฮอลโลเวลล์, เจย์ อาเชนเฟลเตอร์, เคย์ลีน วอลเตอร์ส, ไบรอัน เมนโดซ่า, จอน สเปธส์ อำนวยการสร้างบริหารฯ

ทีมงานฝ่ายสร้างสรรค์เบื้องหลังของผู้กำกับฯ ได้แก่ ผู้กำกับภาพผู้เคยชิงรางวัล BAFTA เอ็นริเก้ เชเดียก  (“127 Hours,” “Transformers: Rise of the Beasts”) ผู้ออกแบบฉากเจ้าของรางวัล Oscar แกรนท์ เมเจอร์ (“The Lord of the Rings: The Return of the King,” “The Meg”) ผู้ลำดับภาพ เจมส์ โธมัส (“Pokémon: Detective Pikachu”, ภาพยนตร์ “Borat”) ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์เจ้าของรางวัล Oscar แดน เล็มมอน (“The Jungle Book,” “The Batman”) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย อแมนด้า นีล (“The Meg,” “What We Do in the Shadows”) คัดเลือกนักแสดงโดยราเชล เทนเนอร์ ผู้ควบคุมดนตรี เกบ ฮิลเฟอร์ และ คาริน แรชต์แมน ดนตรีโดยมาร์ค มาเธอร์สบอห์ (“Thor: Ragnarok,” ภาพยนตร์“LEGO®”)

วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส และ เลเจนดารี่ พิกเจอร์ส นำเสนอภาพยนตร์ผลงานจาก A Vertigo Entertainment/On The Roam/Mojang Studios Production, A Jared Hess Film เรื่อง “A Minecraft Movie”   ะจัดจำหน่ายทั่วโลกโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส และทางตะวันออกของประเทศจีนโดยเลเจนดารี่ ฉายในโรงภาพยนตร์และระบบไอแมกซ์ในอเมริกาเหนือวันที่ 4 เมษายน 2025 และต่างประเทศเริ่มวันที่ 2 เมษายน 2025

รายละเอียดการถ่ายทำ

 

จาเร็ด, เจสัน และ แจ็ค การสร้างภาพยนตร์ไมน์คราฟต์ … “A Minecraft Movie”

 

“ไมน์คราฟต์เป็นดินแดนที่ไร้สาระที่สุดเท่าที่ผมเคยไปเยือนมา ผมรักมันมากเลย!” ผู้กำกับฯ จาเร็ด เฮส กล่าวย้ำ เขาคือผู้สร้างภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันจากผลงานที่แฟนๆ ชื่นชอบอย่าง “Napoleon Dynamite” และ “Nacho Libre” “มันมีความสร้างสรรค์สุดๆ มีความแปลก เต็มไปด้วยกาผจญภัย เดาทางไม่ถูก ไมน์คราฟต์ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้อย่างไม่รู้จบ คุณสามารถปรับเปลี่ยนบรรยากาศ สามารถสำรวจ ทำเหมือง นั่งเล่น เก็บทรัพยากร สร้างบ้านแสนสวย แมนชั่น ที่ตั้งลับ ฐานทัพได้ จะทำอะไรก็ได้ตามใจต้องการ สามารถเลือกการผจญภัยของตัวเองในเกมได้ เมื่อเรามีการพัฒนาสู่รูปแบบภาพยนตร์ เราคิดว่าจะปล่อยให้สร้างการผจญภัยของตัวเราเองขึ้นมา สร้างสิ่งที่เราต้องการ สร้างโลกสุดแปลกพร้อมกับตัวละครเหล่านี้ขึ้นมา ดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง หนังเรื่องนี้เป็นเพียง 1 ในล้านเรื่องราวความต่างของไมน์คราฟต์อย่างที่ใครๆ ก็สร้างขึ้นมาเมื่อเล่นเกมนี้”

 

นักแสดงและผู้สร้างฯ เจสัน โมโมอา เล่าว่า “ผมคิดว่านี่เป็นหนังเรื่องแรกที่ผมได้ทำอะไรแบบนี้ ผลงานไลฟ์แอ็คชันที่ได้เข้าไปอยู่ในโลกแบบนี้ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ มันคือเรื่องราวที่ได้อยู่ในประวัติศาสตร์ นี่เป็นครั้งแรกของผม มันน่าทึ่งมาก จาเร็ด เฮส ผมรักเขา ผมยินดีมากถ้าจะร่วมงานกับจาเร็ดได้ตลอด ผมรักหนังของเขา ผมรักตัวละครที่เขาสร้าง เขาเป็นมนุษย์ที่มีความแปลก เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เจ๋งมากเท่าที่ผมเคยเจอมาในชีวิต เล่าถึงเรื่องดีๆ ได้ไม่หมดเลยล่ะ ผมเลยได้แต่พูดว่า ‘ผมร่วมงานด้วย!’”

 

นักแสดงแจ็ค แบล็คเล่าเสริม “ผมสัมผัสความรู้สึกได้ ทุกคนที่คลั่งไมน์คราฟต์ตื่นเต้นกับหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่ามีลายคนที่ไม่อยากเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง มันเกิดขึ้นจริง ผมสัมผัสได้ตอนที่โพสต์ถึงเรื่องนั้นว่า ‘โอ้ ผมจะได้อยู่ในโลกของไมน์คราฟต์’ ซึ่งเป็นภาพของผมตอนอ่านนังสือ  Minecraft for Dummies มีคนกดไลค์เป็นล้านคนและเกิดความรู้สึกว่า “โอ้ เกิดกระแสขึ้นแล้วล่ะ” มันคือปรากฎการณ์ เกมนี้มีคนรักหลายล้านคนทั่วโลกมานานหลายปี และผมคิดว่าหนังเรื่องนี้มีความสำคัญต่อใครหลายคน เพราะมันเป็นเรื่องของยุคสมัย มีเด็กๆ ที่โตขึ้น อยู่ในโลกแห่งการทำงาน ใช้ชีวิตและมีครอบครัวของตัวเอง เกมนี้อยู่ในโลกของเรามานานขนาดนั้นแล้ว มันเลยวิเศษมากที่สุดท้ายได้นำโลกใบนั้นมาอยู่ในโรงภาพยนตร์”

การเดินทางของการพาโลกทั้งใบสู่จอยักษ์

 

จุดกำเนิดมาจาก Mojang จากนั้นเป็นสตูดิโอเกมเล็กๆ ในประเทศสวีเดน ไมน์คราฟต์ได้สร้างปรากฎการณ์ทั่วทุกมุมะโลก จากนั้นมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2011 โดยเกม 300 ล้านก็อปปี้ถูกจำหน่ายโดยมีผู้เล่นต่อเดือนเกือบ  140 ล้านคน จนกลายเป็นวีดีโอเกมที่มียอดขายดีที่สุดตลอดกาล 

ไมน์คราฟต์เป็นเกมที่ต้องมีความใส่ใจและใช้ความสร้างสรรค์ มันมีทั้งการทุบทำลาย เก็บสะสม และวางกล่อง ผู้เล่นต้องช่วยกันสร้างความมหัศจรรย์และโลกอันน่าทึ่งขึ้นมา ต่างจากเกมที่มีการแข่งขันกัน ไมน์คราฟต์เป็นการรวมตัวนักสร้างสรรค์ มาสร้างผลงานร่วมกัน เรียนรู้ร่วมกัน และเล่นร่วมกัน เฉลี่ยต่อวันในเกมมีผู้ขุดสร้างผลงาน 8.8 ล้านครั้ง พบเพชรจำนวน 6.7 ล้านชิ้น และผลิตเค้ก 700,000 ชิ้นขึ้นมา 

 

ทอร์ไฟ ฟรานส์ โอลาฟส์สัน หนึ่งในครีเอทีฟไดเรกเตอร์แห่งไมน์คราฟต์และผู้สร้างฯ ได้กล่าวถึงจุดเด่นของโลกการเล่นเกมว่า “ไมน์คราฟต์เป็นเกมในกล่องทราย แต่ไม่มีการเขียนเกมเอาไว้ล่วงหน้า คุณต้องสร้างเรื่องราวขึ้นมาเอง มันเลยเต็มไปด้วยการผจญภัย เป็นที่ๆ คุณจะได้เสี่ยงหรือล่สมบัติและมีประสบการณ์ต่างๆ แต่ผู้เล่นแต่ละคนจะมีคำสั่งต่างกันไป พวกเขาจะทำงานต่างกัน และแต่ละคนจะได้ประสบการณ์ที่ต่างกัน”

ประสบการณ์เฉพาะตัวของผู้เล่นแต่ละคนคือจุดเด่นของหนังเรื่องนี้ “เราไม่สามารถพูดได้ว่านี่คือหนังไมน์คราฟต์ และทำเป็นหนังที่สมบูรณ์แบบที่สุดในตำนานไมน์คราฟต์” โอลาฟส์สันกล่าว “นอกจากเป็นหนังไมน์คราฟต์แล้ว นี่ยังเป็นเรื่องราวในฉากของโลกไมน์คราฟต์ หนึ่งในพันล้านเหตุการณ์ด้วย”

 

“ไมน์คราฟต์มีเอกลักษณ์แตกต่างของการเป็นเกมเปิด ทุกคนสามารถเล่นเกมได้ต่างกันไป” ผู้อำนวยการสร้างฯ เคล บอยเตอร์ กล่าว “คุณสามารถเล่นได้อย่างไร้ขีดจำกัด สามารถดูวีดีโอบน YouTube หรือเฝ้าดูลูกๆ เล่นไมน์คราฟต์ได้ตามความเหมาะสม มันเป็นมากกว่าเกม มีจุดเชื่อมโยงวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของลูกเรา พวกเขามีความผูกพันกับเกมยาวนานหลายปี ทำให้ไมน์คราฟต์มีความผูกพันเป็นการส่วนตัว เรามองว่า ‘A Minecraft Movie’ เหมือนการตีความเรื่องราวสุดพิเศษในโลกของไมน์คราฟต์ เราอยากแน่ใจว่าเราบอกเล่าเรื่องราวที่มีชื่อเสียงที่มีความสำคัญกับผู้ชมได้ดี”

ผู้สร้างฯ พากันทดสอบคอนเซ็ปต์ในเวอร์ชันภาพยนตร์ร่วมกับกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ของไมน์คราฟต์ บอยเตอร์เล่าว่า “นับเป็นเรื่องสนุกที่มีการนำเสนอไอเดียต่างๆ ให้พวกเขา ได้มุมมองจากพวกเขา และสร้างความมั่นใจว่าเรากำลังสร้างหนังที่กำลังสื่อสารกับพวกเขา และพวกเขาจะสัมผัสความรู้สึกนั้นได้ทันที”

 

ผู้สร้างฯ เก็บไอเดียสำคัญ 2 เรื่องของเกมเอาไว้: ความสร้างสรรค์และความอยู่รอด “ความสร้างสรรค์คือพื้นฐานสำคัญของหนังเรื่องนี้ เช่นเดียวกับเรื่องความอยู่รอด” บอยเตอร์อธิบายต่อ “ไอเดียของความสร้างสรรค์อาจนำไปเพื่อความอยู่รอดกลายเป็นประเด็นสำคัญของเนื้อเรื่องเรา ทั้งในโลกของไมน์คราฟ์และในชีวิตจริงด้วยเช่นกัน”

 

เมื่อมาถึงจุดที่ต้องตามหาผู้กำกับฯ ที่เหมาะสม ผู้สร้างฯ ได้เลือกจาเรด เฮส ผู้เคยสร้างความโดดเด่นให้ผลงานต่างประเทศด้วยเรื่อง “Napoleon Dynamite” ที่เขาร่วมกำกับฯ กับภรรยาเจรูชา เฮส “ผมเคารพในหนังเรื่องนั้นและทุกสิ่งที่จาเรดสร้างเอาไว้ ผมตามเขามานานหลายปีเพื่อมาเป็นส่วนหนึ่งในหนังของเรา ไม่เคยสำเร็จจนกระทั่งตอนนี้ ไมน์คราฟต์เป็นเกมที่มีความพิเศษมาก มันไม่ใช่เกมที่จะเป็นอย่างไรก็ได้ มันมีความงดงาม สร้างความสุขอย่างบังเอิญได้แบบวันนี้ มีอิสระบางอย่างอยู่ในเกม มีทั้งอิสระ แรงผลักดัน และความงดงามที่มาจากใจของจาเรด เฮส ซึ่ง 2 สิ่งนั้นคือเรื่องที่เข้าใจได้”

“เมื่อคุณเล่นเกมไมน์คราฟต์ มันคือสังคมอย่างชัดเจน” เฮสกล่าว “มีหลายคนเล่นอยู่ทั่วโลกตลอดเวลา และมันมีมิตรภาพในเกมที่ยั่งยืน เวลาที่เราเล่นเกมเราสามารถเข้าถึงพลังแห่งความสร้างสรรค์พิเศษ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวละครในเรื่อง ความประหลาดของเกมคือเวลาที่เราเล่นเกมนี้ มันไม่มีเนื้อเรื่องอะไรเลย ใครก็เล่นเกมนี้ได้ และมีผู้เล่นทั่วโลกนับพันล้านคนที่สร้างสรรค์เรื่องราวของตัวเองเวลาที่เล่นเกม มันเลยมีพันล้านเรื่องราวอยู่ที่นั่น ส่วนนี่คือเรื่องราวหนึ่งในนั้น มันไร้สาระ มีความสนุก เป็นการผจญภัยแหวกแนวที่คุณจะได้เคยสัมผัสมาก่อน”

 

ความสร้างสรรค์คือหัวใจสำคัญของการอยู่รอด เฮสและทีมเขียนบทมาพร้อมกับเรื่องราวที่มีตัวละครไม่ได้อยู่ในโลกอื่น แต่อยู่ในโลกอันเหลือเชื่อ ได้ใช้จินตนาการของตัวเองเพื่อออกไปจากตรงนี้ “นีเธอร์เป็นที่แออัดเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่รีกว่าพิกลินส์ มันคือพวกป่าเถื่อนอย่างแท้จริง” เฮสกล่าว “พวกมันถูกชักนำโดยแม่มดร้ายที่ชื่อมัลโกชา เธอพยายามหาทางแก้แค้นโอเวอร์เวิร์ล เธอเกลียดทุกความสร้างสรรค์ เธอพยายามจะเข้าไปอยู่ในโอเวอร์เวิร์ล ครอบครองและทำลายความงดงามของที่นั่น เธอคือตัวการร้ายที่สำคัญในหนังของเรา”

 

โปรเจ็กต์นี้มีความท้าทายมากมาย และได้ความช่วยเหลือจากเจนส์ “เจ็บ” เบอร์เกนสเตน ผู้สร้างไมน์คราฟต์และซีซีโอแห่ง Mojang ที่มาช่วยสร้างความมั่นใจให้ทีมงานเรื่องความสมจริงเหมือนเกม มันต้องอาศัยเวลาพักหนึ่งก่อนที่ทีมงานจะเกิดไอเดียว่าไมน์คราฟต์ไม่ใช่แค่เรื่องราวเรื่องหนึ่ง แต่มีอีกหลายเรื่องราวมากมาย “ไมน์คราฟต์มีความน่าทึ่งสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ เรื่องราวความสนุกอยู่ที่เรื่องราวของผู้เล่นทั้งหลาย” เบอร์เกนสเตนกล่าว “เวลาที่เราบอกเล่าเรื่องราวของไมน์คราฟต์ในหนัง มันง่ายกว่าหากจะคิดว่า ‘โอเค สิ่งสำคัญคือนี่เป็นเรื่องราวที่สนุก ภาพยนตร์ต้องสมจริงเหมือนไมน์คราฟต์’ ทำให้ลดความกดดันลงในมุมการสะท้อนเรื่องราวของเกม ระหว่างการพัฒนาเราอยากถ่ายทอดบางสิ่งที่ผู้เล่นเข้าใจได้ว่า ‘โอ้ ใช่เลย ฉันสร้างอะไรแบบนั้นขึ้นมา นั่นคือสิ่งที่เกิดกับเรื่องของฉันเหมือนกัน’ มีหลายรายละเอียดที่ทุกคนสัมผัสได้จากไมน์คราฟต์ จากนั้นผู้เล่นสามารถใช้มันสร้างเรื่องราวที่มีเอกลักษณ์ขึ้นมาได้ สำหรับเรื่องนี้มันคือสิ่งที่เหมาะกับภาพโดยรวมขนาดใหญ่”

เบอร์เกนสเตนรู้สึกสับสนว่าความธรรมดาที่ผู้เล่นสัมผัสได้ตอนเข้าสู่โลกของไมน์คราฟต์จะมาครอบงำหนังเรื่องนี้ “เราต้องการประสบการณ์ในช่วงคืนแรก เพราะมันคือเกมที่ชวนสับสนในช่วงแรกเริ่ม” เขากล่าว “มันมีความงดงามอย่างประหลาดในช่วงกลางวัน แต่พอตะวันตกดินก็จะมีซอมบี้ ครีปเปอร์ โครงกระดูกออกมาทั่วทุกแห่ง มันน่ากลัวมากและเราไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เราจะพยายามขุดหลุมลงไปใต้ดินและซ่อนตัวจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น หรือเราจะถมดินและยืนอยู่ตรงนั้นจนกว่าจะรู้สึกปลอดภัย มันน่ากลัวมากและเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เราอยากใส่ไว้ในหนัง”

 

เขาเล่าเสริมว่าพวกเขาต้องแน่ใจว่ามีการสร้างรายละเอียดต่างๆ ที่คนเล่นเกมหวังว่าจะได้เห็น นอกจากเรื่องการออกแบบและการก่อสร้าง “ผมคิดว่าสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์คือตัวละครที่เรียกว่าครีปเปอร์” เขาอธิบาย “มันเป็นมอนสเตอร์ตัวสีเขียวที่จะคอยตามคิดคุณและระเบิด ใครก็ตามที่เล่นไมน์คราฟต์จะรู้ดี เพราะมันน่ารำคาญ แถมมันยังเป็นมอนสเตอร์ที่น่ากลัวมากที่สุดตัวหนึ่งด้วย เพราะหากมีการระเบิดก็จะทำลายบางสิ่งบางอย่าง”

 

การรักษาอารมณ์ที่แท้จริงและพื้นฐานของเกมคือสิ่งสำคัยที่สุดสำหรับเฮส “ความสำคัญอยู่ที่การสร้างความสมจริงของเกมและโลกใบนั้นให้ได้มากที่สุด” ผู้กำกับฯ กล่าว “มีบางอย่างในเกมที่ไม่สามารถถ่ายทอดผ่านการดัดแปลงสู่ภาพยนตร์ได้ เราใช้เวลาร่วมกับเจนส์ เบอร์เกนสเตนและทีมงานที่สวีเดนทั้งหมดอยู่นาน เพื่อช่วยกันแก้ปัญหานั้น จัดการเรื่องรายละเอียด สร้างทุกอย่างให้ถูกต้องเหมาะสม ทีมงานที่ Weta สร้างคอนเซปต์อาร์ทของภาพชาวบ้านออกมาได้น่าทึ่ง เราพยายามออกแบบตัวละคร ฉากต่างๆ และทุกอย่างให้เหมือนกับในเกมที่สุด แม้ว่าบางที่จะต้องเจอความยากลำบากและได้รับการอนุญาตในการสร้างสรรค์ เราต้องถ่ายทอดผลงานนั้นออกมาให้ได้”

สำหรับโอลาฟสัน การได้ร่วมงานกับเฮสคือความสุขอย่างหนึ่ง “จาเรดเป็นคนที่อบอุ่นและใจกว้างมาก” เขากล่าว  “ตั้งแต่ช่วงแรกเขารักไมน์คราฟต์จริงๆ และผมรักในสิ่งที่มันสร้างขึ้นมาเพื่อลูกๆ ของเขา แต่เขายอมรับว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ชำนาญขนาดนั้น ยอมรับว่าต้องการความช่วยเหลือ เราเลยเริ่มจากส่งวีดีโอที่ผมจะสร้างขึ้นมาให้เขาดู เล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับความพิเศษ อาวุธ สถานที่ แมนชั่นในป่า หลังจากนั้นเขาเริ่มสร้างโลกและทำการบรรยายพร้อมกับผู้เขียนบทฯ เราใช้เวลาคุยเกี่ยวกับเรื่องราวนานมาก”

 

ในหนังมีเรื่องราวเล็กๆ ที่เอาใจแฟนเกมนับล้านอีกด้วย “เรารู้ว่าไมน์คราฟต์เป็นที่รักของทั่วโลก” ผู้กำกับฯ กล่าว “เรารู้ว่าทุกคนมีเรื่องราวความสนุกของตัวเองที่พวกเขานำไปใส่ในเกมตอนเล่น เราคิดว่า ‘ใส่เวอร์ชันของเราลงไปในหนังเรื่องที่เราอยากสร้างความสนุกขึ้นมาดีกว่า ให้มีเรื่องตลกที่เรารักเกี่ยวกับเกม แชร์ให้ทุกคนบนโลกรับรู้ เล่าเรื่องสนุกไปพร้อมกับทีมนักแสดงที่มีความสนุก บนโลกสุดประหลาดใบนี้และดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง’ มันไม่ใช่แค่เรื่องราวไมน์คราฟต์ มันคือเรื่องราวของไมน์คราฟต์เชียวล่ะ”

 

ผู้สร้างภาพยนตร์ตั้งใจว่าวิธีหนึ่งที่จะทำให้แฟนๆ แฮปปี้ได้ คือการทำให้พวกเขามีส่วนร่วมในการสร้างภาพยนตร์ขึ้นมา ในช่วงที่ทีมงานฝ่ายสร้างสรรค์เจอทางตันขึ้นมา พวกเขาจะขอความช่วยเหลือจากผู้เล่นระดับแถวหน้าของสังคมไมน์คราฟต์ โอลาฟสันเล่าว่า “เราเคยมีปัญหาเรื่องการออกแบบกับดักเรดสโตนที่สร้างในเหมือง ไม่มีอะไรลงตัวเลยสักนิดจนเราต้องการการออกแบบเรดสโตนที่ดี เราถามมัมโบ จัมโบ ยูทูปเบอร์เรดสโตนที่สร้างอุปกรณ์อันน่าทึ่งและวีดีโอต่างๆ อธิบายว่าเครื่องมือของเขามีการทำงานอย่างไร เรามีการสร้างเครื่องมือบางอย่างที่ต่างออกไป บางส่วนมีความซับซ้อนมากและมันก็วิเศษมากเลย”

 

มัมโบ จัมโบร่วมงานกับทีมผู้สร้างไมน์คราฟต์ DanTDM, Aphmau, LDShadowLady และ Valkyrae พร้อมด้วยลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ ในหนัง

 

โอลาฟสันเชื่อว่าในหนังมีบางอย่างที่ทุกคนจะสนุกไปด้วยกันได้ “บางคนพบความสนุกจากการได้เห็นแจ็ค แบล็ครับบทสตีฟ” เขากล่าว “เพราะสตีฟเป็นตัวละครทำตัวปกติเป็นกลางที่ไมน์คราฟต์มีมานานหลายปีแล้ว เขาไม่ได้มีความโดดเด่นอะไร เพราะเขาเหมือนทางผ่านสำหรับผู้เล่นทั่วไป แล้วอยู่ๆ เขาก็กลายเป็นคนที่มีความหมายมากกว่าที่จะนึกภาพได้ ฉากต่อสู้ก็ยิ่งสนุก เราเคยเห็นพวกหนังซูเปอร์ฮีโร่มาแล้ว เราจะสร้างสิ่งที่แตกต่างและสนุกขึ้นมา เจสัน โมโมอาแสดงให้เห็นอีกมุมในตัวของเขา เขามีความกล้าหาญอย่างเหลือเชื่อ มีช่วงที่เขาได้อ่อนแอ ไม่ได้เป็นแค่ฮีโร่ผู้แข็งแกร่งที่เขาเคยแสดงให้เห็นบ่อยๆ เขาจะต้องสู้กับเครื่องจักรไมน์คราฟต์เรดสโตน ซอมบี้เบบี๋ หรือเจ้าไก่”

ใช่แล้ว เจ้าไก่!

สำหรับผู้คลั่งไคล้ไมน์คราฟต์ ในหนังมีส่วนที่แสดงให้เห็นถึงความเคารพมากมายและอ้างอิงถึงโ,กของการเล่นเกม “ในหนังมีอีสเตอร์เอ้กอยู่หลายจุด มีสิ่งเฉพาะสำหรับเหล่าเกมเมอร์ที่เราอาจไม่ทันสังเกตเห็น” โอลาฟสันกล่าว “หวังว่าคุณจะสังเกตเห็นบางอย่างตอนที่ดูหนังครั้งแรก จากนั้นจะเห็นอะไรมากขึ้นอีกเมื่อดูครั้งต่อไป และครั้งต่อไปในโรงภาพยนตร์”

 

ไมน์คราฟต์เป็นประสบการณ์ระดับสังคม เมื่อเกมหนึ่งถูกตีความสู่จอยักษ์ เขากล่าว “ไมน์คราฟต์เป็นที่ๆ คุณจะได้สร้างความทรงจำร่วมกัน” โอลาฟสันกล่าว “เช่นเดียวกับหนังเรื่องนี้ การดูหนังพร้อมกับเพื่อน ครอบครัว คนที่เราแคร์ คนที่เล่นไมน์คราฟต์ด้วยกัน หรือคนที่อาจไม่รู้อะไรเกี่ยวกับไมน์คราฟต์เลย มันคือประสบการณ์แห่งการแบ่งปันอันทรงพลัง และจะเป็นประสบการณ์ในโรงภาพยนตร์ระบบไอแมกซ์ที่ทรงพลังมาก เพราะมันไม่ได้มีแค่ความสนุก มันมีภาพและความงดงามที่น่าสนใจ มันเป็นโลกแห่งเวทมนตร์ที่มีการผจญภัยแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ได้เห็นพวกกล่อง สิ่งมีชีวิตแปลกๆ ในโลกของไมน์คราฟต์พร้อมกับผู้คนที่ดูสมจริงมาก มันคือสัมผัสที่คุณจะพบได้ในโรงภาพยนตร์พร้อมกับคนอื่นเท่านั้น”

 

บอยเตอร์อธิบายถึงหนังเรื่องนี้ว่า “มีส่วนผสมระหว่าง ‘Goonies’ และ ‘Fellowship of the Ring’ พร้อมกับการผสมความเป็น ‘Napoleon Dynamite’ อีกมาก “ตัวละครที่ต่างกันทั้ง 4 ในจุดที่ต่างกัของชีวิต พวกเขาต่อสู้ฝ่าฟันเพื่อเหตุผลหนึ่งหรือเหตุผลอื่น ต้องเข้าไปอยู่ในโอเวอร์เวิร์ลและช่วยกันสร้างสรรค์ที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขา กลายเป็นประสบการณ์ที่มีความเป็นสังคมมาก”

 

นักแสดงและตัวละครต่างๆ

 

“ไม่มีตัวละครไนในเรื่องเหมือนฮีโร่ตามแบบฉบับของเรา” เฮสกล่าว “เราไม่ได้สร้างอย่างที่คุณหวังว่าซูเปอร์ฮีโร่ต้องเป็นแบบไหน เจสัน โมโมอาที่เรารู้จักกันในบทอควาแมน เขาจะมาสวมบทบาทที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง การ์เร็ตต์ก็เป็นตัวตึงในหนังเรื่องนี้ เขาอยากจะดูเท่แต่เขาไม่ได้เท่เอาซะเลย ตัวละครทั้งหมดต่างเป็นกลุ่มฮีโร่นอกสายตาที่มาในแบบของตัวเอง พวกเขาต้องมาร่วมการผจญภัยครั้งนี้ในแบบของเขา”

 

สตีฟเป็น (มนุษย์) ผู้ดูแลจัดการที่ไว้ใจได้ที่สุดในโอเวอร์เวิล์ด

และเป็นพ่อมดแห่งกล่องลูกบาศก์ 

โชคดีที่ผู้แปลกแยกแตกต่างทั้ง 4 มีเพื่อนใหม่และนับเป็นเพื่อนซี้

อย่างหมาป่าชื่อเดนนิสมาอยู่ข้างพวกเขา

สตีฟเป็นนักผจญภัย/นักสำรวจ เขาคิดถึงอดีตการเป็นผู้เล่นคลาสสิค OG ที่โตมาพร้อมกับการเล่นมัน

เขารู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับไมน์คราฟต์ไม่ต่างจากเรา

 

ผู้มารับบท สตีฟ คือแจ็ค แบล็ค เด็กในร่างผู้ใหญ่ที่ไม่มีใครบนโลกเข้าใจ แต่เขาคือคนที่พบประตูสู่โลกของไมน์คราฟต์ และเขาก็สามารถเติมเต็มจินตนาการความสร้างสรรค์ของเขาได้อย่างเต็มที่ แต่สตีฟกลับได้อะไรมากกว่าที่เขาต่อรองเอาไว้ คือการอยู่ในคุกมืดที่นีเธอร์อันโหดร้ายมาอย่างยาวนาน แบล็คอธิบายถึงเรื่องราวว่า “มันเป็นเรื่องความเป็นความตาย เพราะพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์อันน่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยได้ยินชื่อเสียงมาก่อน มัลโกชาเป็นราชินีหมูที่โหดร้ายที่จะฉีกเราเป็นชิ้นๆ และจัดการเราให้กลายเป็นหมูสับ แตร่ด้วยความโชคดีอันน้อยนิด มิตรภาพเล็กๆ เล่ห์เหลี่ยมหน่อยๆ รวมถึงการทำเหมืองอย่างบางตาทำให้ฮีโร่ผู้กล้าของเราผ่านแต่ละวันไปได้ด้วยดี พวกเขาจะปกป้องวันนั้นได้หรือไม่? คำเตือนสปอยล์ ผมไม่ได้บอกอะไรนะ นันคือเนื้อเรื่องย่อที่ลงตัวของไมน์คราฟต์ฉบับภาพยนตร์”

 

แบล็คมาร่วมงานในโปรเจ็กต์หลังจากเฮสมาชวนให้เขารับบทสตีฟ เจสัน โมโมอา เล่าตอนที่มาร่วมงานว่า “เพื่อนเก่าของผมจาก ‘Nacho Libre’ ติดต่อผมมา” แบล็คเล่า “นั่นเป็นหนึ่งในหนังยอเยี่ยมที่ผมเคยร่วมงานมาก่อน จาเร็ดเล่าว่าเขาอยากให้ผมมาร่วมต่อสู้ไปกับเจสัน ทั้งเรื่องเขาจะกลายเป็นเพื่อนและคู่หูนักสู้ที่โหดเหี้ยม ผมคิดว่ามันฟังแล้วน่าสนุกดี เห็นแววความตลกเยอะมาก ผมรักเจสัน โมโมอาในหนังที่เคยเห็นเขาเล่น และผมคิดมาตลอดว่าคงสนุกดีหากได้ร่วมงานกับเจสัน มันเลยไม่ต้องเปลืองสมองคิดอะไรเลย”

 

แต่สิ่งที่เป็นตัวตัดสินใจคือประสบการณ์ของแบล็คที่มีต่อเกม “คอบครัวของผมคือนักเล่นไมน์คราฟต์ทั้งนั้น” เขากล่าว  “ผมเล่นไมน์คราฟต์กับลูกในอดีต เพระผมอยากคุยภาษาเดียวกับพวกเขา ลูกชายของผมบอกว่า ‘พ่อต้องเล่นเกมนี้ มันคือไมน์คราฟต์ พ่อ อย่าทำตัวเชย เล่นเกมนี้เลย’”

 

อันที่จริงแบล็คแสดงให้เห็นถึงสกิลเล่นไมน์คราฟต์ระหว่างการถ่ายทำด้วย โอลาฟสันเล่าว่า “เราสร้างพื้นที่ขึ้นมาสำหรับทุกคน [ทีมนักแสดงและทีมงาน] เพื่อมาเล่นเกมไมน์คราฟต์ร่วมกัน เพราะทีมงานบางคนก็อยากเล่นด้วย คนหนึ่งที่พร้อมเล่นตลอดคือแจ็ค เขารับบทสตีฟอย่างจริงจัง เขาต้องอยู่ในเหมือง พยายามขุดเหมืองและสร้างตึกประหลาด บันได แกลอรี่ศิลปะ และสิ่งต่างๆ ในเหมือง อาณาเขตของเขาใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผู้ตกแต่งฉาก แผนกศิลป์ และทีมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์เข้ามร่วมงานด้วย และเราสร้างโลกที่มีหมู่บ้านแสนสวยขึ้นมา มีแต่ทีมงานที่ใช้เวลาว่างไปกับความหลงใหลและความสนุกในการสร้างโลกแห่งความสร้างสรรค์ขึ้นมา”

 

แบล็คเองก็รู้สึกหลงใหลในตัวละครสตีฟ “เขามีโอกาสสร้างเสียงหัวเราะเยอะมาก เป็นตัวละครที่ผมไม่เคยเล่นมาก่อน” นักแสดงชายกล่าว “สตีฟมีความเป็นนักรบที่โหดเหี้ยม ผมไม่ค่อยได้รับบทอะไรแบบนั้น ผมมีฉากต่อสู้และเห็นตัวละครเติบโตขึ้น เพราะเขาเป็นตัวละครที่ดูไม่เหมาะกับสังคมนี้ ค่อนข้างโดดเดี่ยว ไม่มีใครเข้าใจเขา และพวกเขาไม่ได้สนใจกับพรสวรรค์และความสามารถที่เขามี การเข้ามาอยู่ในโลกของไมน์คราฟต์เขาดูมีตัวตนและความสร้างสรรค์ของเขาไร้ขีดจำกัด ตลอดทัง้เรื่องจะมีตัวละครใหม่ๆ และมีการสร้างมิตรภาพที่ทำให้เขาเริ่มเติบโตขึ้น เขาได้เรียนรู้ว่าเขาอยู่ในโลกแห่งความจริงได้ และหาจุดยืนของตัวเองในโลกของมนุษย์แห่งความจริงได้”

 

ความรู้สึกโดดเดี่ยวและแปลกแยกของสตีฟ ทำให้แบล็คเกิดความสนใจด้วยความรู้สึกหลากอารมณ์: เดนนิสหมาป่า “สตีฟพบกับเดนนิสในช่วงแรกของหนัง เขาคือสะพานเชื่อมโยงระหว่างเดนนิสกับมนุษย์” แบล็คเปิดเผย “เดนนิสคือเพื่อนซี้ของเขา เขาพบได้ทั้งความรัก มิตรภาพ และครอบครัวจากเขา ตอนเขาส่งเดนนิสไปทำภารกิจที่มัลโกชาไม่ได้ทำลายโลก สตีฟเสียความเป็นตัวเอง เมื่อเขากลับมาพบกับเดนนิส มันเลยเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายและความท่วมท้นใจสำหรับสตีฟ นับเป็นฉากที่สำคัญมาก”

 

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการร่วมงานกันครั้งแรกระหว่างแบล็คและเฮสนับตั้งแต่ปี 2006 “แจ็ค แบล็คเป็นคนที่ทำตัวสบายๆ และการร่วมงานกับเขาครั้งแรก” เฮสกล่าว “เขาเป็นคนที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและความสุดเหวี่ยง เราพยายามสร้างบางสิ่งขึ้นมา จากนั้นก็มีไฟนำทางสิ่งนี้ขึ้นมา มันสนุกสนานสุดเหวี่ยงจริงๆ”

แบล็คชมเชยกลับโดยยอมรับว่า “ผมเป็นคนเชื่อในเรื่องความสร้างสรรค์และศิลปะก็ถูกสอนในโรงเรียนและให้ความสำคัญเป็นอย่างแรก” เขากล่าว “ผมเชื่อมั่นมากว่าเสียงดนตรีและละครเวทีชวยพัฒนาเด็กได้อย่างมาก มันคือส่วนสำคัญของหนังเรื่องนี้ และเป็นเหตุผลสำคัญที่ผมอยากร่วมงางนในเรื่อง ไม่มีใครจะดีไปกว่าจาเรด เฮสในการเป็นผู้ชนะหนังเรื่องนี้ เพราะทั้งชีวิตเขาเป็นศิลปินที่เก่งและชนะเลิศมาโดยตลอด เขาเป็นคนมีความสร้างสรรค์ อ่อนโยนเต็มไปด้วยความรักและความสร้างสรรค์ เขาเป็นคนที่เหลือเชื่อมาก ผมรักการออกไปข้างนอกกับเขาทั้งในและนอกฉาก”

 

แบล็ครักการที่มีทอร์ไฟ โอลาฟสันในฉาก นักแสดงชายเล่าว่า “เรามีตัวแทนของ Mojang ตัวจริงอยู่ในฉาก เขารู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับไมน์คราฟต์ และเขาคอยช่วยให้เราทำทุกอย่างถูกต้อง คอยให้คำแนะนำและบอกความลับเกี่ยวกับเกมและโลกทั้งใบให้รู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เข้าถึงโลกของไมน์คราฟต์อย่างลึกซึ้งเท่านั้นที่จะรู้ได้”

 

การ์เร็ตต์ มนุษย์ไร้ค่า แกร์ริสัน เกมเมอร์แห่งปี 1989 เขาเป็นผู้ชำนาญด้านเกมตู้ย้อนยุค แต่ล้มเหลวเรื่องอื่นในชีวิตของเขา ชีวิตจริงที่แสบเจ็บปวดทำให้ทุกอย่างดูยากขึ้นเมื่อเขาไม่อยากจะแก่ลง เขาจึงตัดสินใจใช้ชีวิต… อยู่กับอดีตที่ผ่านมาตลอดกาล

 

การ์เร็ตต์ถ่ายทอดความนูบที่หมายถึงคนอ่อนประสบการณ์และความรู้ สร้างความผิดพลาด แต่พร้อมเรียนรู้และค้นพบสิ่งต่างๆ ทำให้เขาเป็นที่เข้าถึงได้ง่าย

เจสัน โมโมอารับบทการ์เร็ตต์ “มนุษย์ไร้ค่า” การ์ริสัน แชมป์วีดีโอเกมช่วงปลายยุค 1980 เจ้าของร้านเกมแห่งหนึ่ง และตอนนี้ใช้ชีวิตหลังช่วงที่มีชื่อเสียงโดยที่ไม่มีใครจดจำอะไรได้นอกจากตัวเขา

 

โมโมอาบรรยายถึงการ์เร็ตต์ว่า “ดูเป็นคนขี้แพ้ เขามีชื่อเสียงตอนอายุยังน้อยและยึดติดกับช่วงเวลานั้น เมื่อเราได้พบเขาในหนัง มันคือจังหวะที่เขาหมดไฟ แต่เขามีจิตใจที่ เขาต้องลบความหยิ่งและสิ่งที่คิดว่าตัวเองมีเสน่ห์เอาไว้ ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองโชคร้าย อ้างว้างโดดเดี่ยว แต่ความจริงแล้วเขาอยากมีใครสักคน เขาอยากเป็นส่วนหนึ่งของในกลุ่ม และเขาได้พบกับแก๊งค์ของเขาในหนังเรื่องนี้ ในความเป็นจริงแล้วเขาคือแมวตัวใหญ่ที่มีความหวาดกลัว เขาไม่เคยได้รับความรักหรือได้รับการดูแล เขาค่อนข้างอ่อนล้า พยายามดูแลตัวเองมาโดยตลอด ตอนนี้เขาต้องดูแลคนอื่นและคนอื่นก็ดูแลเขาเช่นกัน นั่นคือสิ่งที่เราทุกคนต่างต้องการ มีใครสักคนรักเรา และเรารักพวกเขากลับ เขาเปิดใจตัวเองและมันทำให้เขาเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น”

 

สิ่งที่ทำให้บทนี้มีความสนุกสำหรับโมโมอา คือบางมุมของตัวละครที่เขาได้พบเจอ “การ์เร็ตต์ค้นพบตัวเองหลายอย่าง” นักแสดงชายกล่าว “เขาเคยเป็นคนเห็นแก่ตัวและทำอะไรเพื่อตัวเองเสมอ เขาไปไกลแสนไกลในช่วงสำคัญของเรื่อง มีหลายช่วงที่สะเทือนใจในช่วงที่มีความตลก มันเป็นโลกที่มีความงดงาม ช่วงเวลาสะเทือนใจมันได้ผลจริง ผมคิดว่าการ์เร็ตต์และสตีฟซึ่งเป็นตัวละครของแจ็คมีความคล้ายกันมาก แต่ก็ยังมีการแข่งขันระหว่างพวกเขาเกิดขึ้นอยู่บ้าง สุดท้ายแล้วเหมือนการ์เร็ตต์ผ่านการบำบัด เขาได้พบอะไรหลายอย่างในเรื่องนี้และคุณจะได้เห็นหลายมุมในตัวเขาที่ต่างออกไป”

 

โมโมอากระตุ้นตัวเองทุกวันก่อนไปเข้าฉากโดยการฟังเพลงที่ทำให้เขาเข้าถึงอารมณ์ของตัวละคร “เพลงแรกที่ผมฟังตอนที่เราถ่ายทำหนังเรื่องนี้คือเพลงของ Skid Row อย่าง ‘I Remember You’ และบางเพลงของ Billy Idol” เขากล่าว . “มีหลายเพลงในช่วงครึ่งหลังที่เป็นเพลงยุค 80 ช่วงที่การ์เร็ตต์ยังเป็นเกมเมอร์ดาวรุ่ง ช่วงเวลานั้นมีความหมายสำหรับผมมากเช่นกัน เพลงของ Guns N’ Roses ในช่วงที่ผมอายุ 10 ขวบ มันสนุกมากที่ได้ย้อนเวลากลับไปจุดนั้น”

 

โมโมอารู้สึกสนใจตอนที่ผู้สร้างฯ เคล บอยเตอร์ ที่เขารู้จักเป็นอย่างดีตอนร่วมงานกันในเรื่อง ‘Dune’ ได้รับการเอ่ยชื่อในหนังเป็นครั้งแรก โมโมอาเล่าถึงช่วงนั้นว่า “เคลพูดขึ้นว่า  ‘ผมมีไอเดียประหลาดอย่างหนึ่ง มันเป็นหนังคอมเมดี้และคุณเหมาะกับบทนี้มาก คุณจะร่วมงานด้วยไหม?’ ผมตอบรับเลยเพราะผมวางใจเคล นี่เป็นหนังเรื่องแรกที่ผมทำอะไรแบบนี้ ไลฟ์แอ็คชั่นที่ได้เข้าไปอยู่ในโลกแบบนี้ มันต้องมีความยิ่งใหญ่มากในประวัติศาสตร์แน่ วิเศษมากเลย” 

 

เมื่อเฮสมาร่วมงานในโปรเจ็กต์ โมโมอาดีใจมากที่ได้มาร่วมงานด้วย นับเป็นสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญต่อโมโมอามาก ไมน์คราฟต์ช่วยปลูกฝังจินตนาการของเด็กอย่างไร “เคลและจาเร็ดคุยกันว่าไมน์คราฟต์มีผลอย่างไรต่อลูกของพวกเขา และไมน์คราฟต์มีความหมายต่อพวกเขาขนาดไหน” เขาจำได้ “การไม่ได้เข้าไปอยู่ในชีวิตส่วนตัวของพวกเขา นับเป็นเรื่องน่าเศร้ามาก ความสร้างสรรค์และจินตนาการคือสิ่งสำคัญที่เรามีในฐานะศิลปิน การได้สร้างสรรค์คือเหตุผลที่เรามาอยู่ที่ตรงนี้”

 

โมโมอามีความสุขที่ได้ร่วมงานกับเฮส “จาเร็ดมีความแปลกและมีอารมณ์ขันที่น่าทึ่ง” เขากล่าว ‘Napoleon Dynamite’ ยอดเยี่ยมมาก เช่นเดียวกับ ‘Nacho Libre’ ถ้าผมร่วมงานกับจาเร็ดได้ตลอด ผมจะทำเลย ผมรักหนังของเขา เขาถนัดเรื่องการสร้างโลกใบนั้นอย่างเหลือเชื่อ เขาคือตัวเลือกที่ดีสำหรับหนังเรื่องนี้เลย”

ในการร่วมงานกับแจ็ค แบล็ค โมโมอารู้สึกตื่นเต้นมาก “ผมรักแจ็ค แบล็คมากเลย ผมรักทุกอย่างที่เขาแสดง” โมโมอากล่าว “ผมเคยพูดว่า เคล คุณจะขาดแจ็ค แบล็คไม่ได้เลย เขาต้องมาร่วมงานด้วย”

 

ทีมนักแสดงที่อายุน้อยก็สร้างความประทับใจอย่างโดดเด่นไม่แพ้กัน โมโมอาเล่าว่า: “เอ็มม่า ไมเยอร์สมีความสามารถน่าทึ่งมากในหนัง แดเนียล บรูคส์ก็เป็นนักแสดงหญิงอีกคนที่มีความมหัศจรรย์  เธอมีความสดใส ผมรักเธอนะครับ เธอเป็นคนตลกมากเลย ผมเอาแต่หัวเราะในฉากแรกที่เราแสดงร่วมกัน เธอยังเป็นนักร้องที่เก่งมากอีกด้วย เซบาสเตียนจัดการกับบทที่ยากสุดในเรื่องได้ เขาน่าจะมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าพวกเราที่เหลือซะอีก เพราะการสวมบทบาทนั้นและตีบทแตกได้เป็นเรื่องยากมาก”

 

ความแตกต่างระหว่างโมโมอาและแบล็คทำให้หนังเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ บอยเตอร์กล่าว “การแข่งขันระหว่างการ์เร็ตต์ร่างยักษ์สูง  6 ฟุต 4 นิ้วที่มีภาพของอควาแมน กับสตีฟผู้เป็นเหมือนโอบิ วัน/เอรากอนแห่งโอเวอร์เวิร์ลที่เกิดขึ้นทั้งเรื่อง จนทำให้พวกเขากลายเป็นพาร์ทเนอร์แห่งอาชญากรรม และความตลกที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี” 

 

รอง ผอ. มาร์ลีนคือคนแรกที่ต้อนรับเฮนรี่สู่ Chuglass High School เขาค่อนข้างเปิดเผยเกินไป แม้ว่าโรงเรียนในไอดาโฮจะมีการจัดอันดับกันอย่างเปิดเผย เธอมองโลกแง่ดีในเรื่องการสมัครเรียนของเฮนรี่ เธอให้กำลังใจเมื่อต้องพบกับความตื่นเต้น และการได้พบกับคนแปลกหน้าลึกลับที่ดูแข็งแกร่งแต่เงียบขรึมที่จะมาเปลี่ยนชีวิตของเธอ

 

เจนนิเฟอร์ คูลิดจ์ถ่ายทอดความน่ารักสู่บทรอง ผอ. มาร์ลีนในไฮสคูลได้ดี คูลิดจ์เข้าใจบทฯ ได้ภายใน 3 วินาทีหลังจากที่เฮส ซึ่งเคยร่วมงานกับเธอครั้งแรกในเรื่อง ‘Napoleon Dynamite’ โทรมาหาเธอเพื่ออธิบายเรื่องภาพยนตร์และบทบาทนั้น

เธอเหมือนกับเพื่อนนักแสดงคนอื่นๆ ที่รู้สึกสนใจเรื่องราวที่มีประเด็นเกี่ยวกับความสร้างสรรค์ “เพราะความโดดเดี่ยวนั้นทำให้เข้าถึงใครหลายคน” เธอกล่าว “หลายคนรู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งในวัยเด็ก ช่วงชีวิตที่ดีที่สุดในชีวิต พวกเขาเคยผ่านช่วงเศร้าและยากลำบากอย่างโดดเดี่ยวได้อย่างไร เราต้องต่อสู้เพื่อได้รับการยอมรับจากคนอื่น โดยที่เรายังมีโลกใบนี้ให้เข้าไปพักพิง ฉันคิดว่าคนส่วนใหญ่มองว่ามันคือสิ่งที่ปกป้องพวกเขา แล้วเราจะไม่รักมันได้อย่างไร?”

คูลิดจ์อธิบายเพิ่มว่า “ฉันรักที่สาวๆ หลายคนสนใจเกม ฉันคิดว่ามันเท่มากเลย ทุกคนคิดว่ามันคือเกมของผู้ชายแต่สาวๆ ทุกคนก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วย มันเป็นโลกที่ทำให้เรารู้สึกว่ากำลังสร้างโลกแห่งความลับเฉพาะขึ้นมาเพื่อเล่นกับเพื่อน ไมน์คราฟต์ทำให้เราได้เข้าไปอยู่ในโลกที่รู้สึกปลอดภัย โลกแห่งความจริงไม่ค่อยมีความเป็นส่วนตัว เป็นสิ่งที่น่าสนใจและเป็นเหตุผลที่คนส่วนใหญ่เล่นมัน”

 

คูลิดจ์เองก็ตื่นเต้นที่ได้กลับมาร่วมงานกับเฮสอีกครั้ง “จาเร็ดทำให้เราตกหลุมรักพวกม้านอกสายตา” เธอกล่าว “เขาทำให้เราเปิดใจรับความตื่นเต้นและสนุกไปกับมันจนท้ายที่สุด ‘Napoleon Dynamite’ หนึ่งในหนังเรื่องโปรดของฉันตลอดกาล ฉันรู้ว่าหลายคนพูดว่าพวกเขาหลงใหลกับหนังเรื่องนั้นเหมือนกัน มันอยู่ที่เรื่องราวนั้นถ่ายทอดออกมาดีแค่ไหน ตัวละครเหล่านั้นมีความอ้างว้างโดดเดี่ยวอย่างไร เพราะในเรื่องนั้นพวกเขาไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตหรือมีความสนุกสนานเท่าไหร่ พวกเขาไม่ได้มีความพิเศษอะไร แต่ได้พบกับช่วงเวลาพิเศษจากการถ่ายทอดเรื่องราวของจาเร็ด เขามีความฉลาดแต่ทำตัวเรียบง่ายมาก ไม่ได้สนใจโลกอย่างผิวเผิน เขาอยากถ่ายทอดเรื่องราวให้มีความสนุกและน่าสนใจ หนังของเขาสร้างพลังให้ผู้คน ถ่ายทอดเรื่องราวให้คนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ชนะ ทำให้เราเกิดความมั่นใจและความสุขหลังจากหนังจบ!”

 

เฮสยังกำกับฯ ในแบบที่คูลิดจ์พบว่าได้มีส่วนร่วมในทุกอย่าง “สิ่งที่ฉันชอบคือการรู้สึกว่ามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ” เธอกล่าว “ตัวละครมีอิสระสูงมาก ตั้งแต่ภาพลักษณ์โดยรวมของเธอ จาเร็ดสามารถถ่ายทอดบทบาทและทำให้เรารู้สึกว่ามีเรื่องราวสำคัญให้ถ่ายทอดออกมาด้วย”

 

เฮนรี่เป็นเด็กใหม่ในไฮสคูล เขาฉลาดเกินตัว การหาเพื่อนและการทำตัวกลมกลืนคือสิ่งที่เขาไม่เคยทำได้

 

เฮนรี่รวมตัวคนในสังคมขึ้นมา ซึ่งเป็นการเคารพในประเด็นสำคัญแต่ยังยึดความสร้างสรรค์ การปรับเปลี่ยน 

การร่วมมือกัน สังคมและการช่วยเหลือ

เมื่อมาถึงช่วงคัพเลือกบทของเฮนรี่ ผู้สร้างฯ เลือกเซบาสเตียน ฮานเซน “เขาไม่เคยผ่านงานระดับนี้มาก่อน” บอยเตอร์กล่าว “และมันดูเป็นเรื่องน่ากลัวมากเมื่อต้องออกไปแสดงกับแจ็ค แบล็ค และ เจสัน โมโมอา และ แดเนียล บรูคส์ และ เจนนิเฟอร์ คูลิดจ์ ต้องสวมบทบาทอะไรแบบนั้น ผมนับถือเขามากเลย เราแคสต์เขามาเพราะเราอยากให้เขาเป็นตัวของตัวเองและเขาก็เป็นเด็กที่มีความโดดเด่น เขารู้สึกเป็นสิ่งที่ใกล้ชิดเด็กมากที่สุดตั้งแต่หนังจอห์น ฮิวจ์สที่เราค้นหาได้”

 

ฮานเซนเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่ตัวละครต้องพบเจอว่า “เขาเป็นเด็กขี้อายโดยเฉพาะในโรงเรียน ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังทำอะไรและมีความสร้างสรรค์ จากนั้นเขาได้เข้าไปอยู่ในโลกของไมน์คราฟต์ เขาต้องติดอยู่ในนั้นและทำความเข้าใจว่าการมีความสร้างสรรค์คือสิ่งที่ดีที่สุด ในหนังสะท้อนให้เห็นว่าความสร้างสรรค์คือสิ่งที่ดี

 

“เฮนรี่เข้ากับโอเวอร์เวิร์ลได้เป็นอย่างดีเพราะเขารู้ตัวเองกำลังทำอะไร และเขาสัมผัสได้ในสิ่งที่ทำ” ฮานเซนกล่าว “เขาเข้ากันได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหากสตีฟบอกให้เขาทำอะไรสักอย่าง พอเขาไปอยู่ในโลกใบนั้น เขาก็เริ่มทำสิ่งที่เขาถนัดที่สุด”

 

สิ่งที่ช่วยได้ดีคือการชื่นชมของฮานเซนที่มีต่อแจ็ค แบล็ค “ผมดูแจ็คเป็นแบบอย่าง” เขากล่าว “ผมเคยดูหนังของเขาตอนอายุยังน้อย เขาเป็นนักแสดงคนโปรดของผม เป็นนักแสดงที่น่าทึ่ คอยทำให้ทุกคนหัวเราะตลอด ผมขอบคุณจริงๆ ที่ได้ร่วมงานกับเขา ส่วนใหญ่ผมก็จะหัวเราะไปกับเขานี่ล่ะ”

 

โอลาฟสันเล่าว่า: “เซบาสเตียนทำหน้าที่สังเกตโลกของไมน์คราฟต์ได้เป็นอย่างดี แค่เห็นครั้งแรกเขาก็เข้าใจ ในขณะที่คนอื่นๆ คิดว่าโลกใบนี้ดูประหลาด เขาตอบว่า  ‘ไม่ มันวิเศษมากเลย’ มันควรจะดูแปลกแต่เขาก็รับมือกับมันได้ดีมากเลย”

 

ดอว์นคือนายหน้าของนาตาลี นอกจากสถานที่ทั้ง 7 แห่งของเธอยังรวมสวนสัตว์เคลื่อนที่ของเธอด้วย  

ดอว์นมีความฝันที่อยากจะทำตาม

แต่กลัวความล้มเหลงจนทำให้เธอใช้ชีวิตอย่างธรรมดา

 

ดอว์นมีความรักสัตว์และชอบดูแลเอาใจใส่ คอยหาเพื่อนตลอด 

เป็นนักประสานและมีอารมณ์แห่งการสำรวจอย่างแท้จริง

 

การรับบทดอว์น นายหน้าประหลาดและผู้ดูแลสวนสัตว์เป็นหน้าที่ของแดเนียล บรูคส์ “ดอว์นมีความตลก” บรูคส์กล่าว  “เธอคือตัวเชื่อมการค้าขายทั้งหมด พยายามหาทางว่าควรค้าขายสิ่งไหน เธอมีความส้รางสรรค์ รักสัตว์ ชอบดูแลคนอื่น พยายามค้นหาตัวเองและคอยวนเวียนใกล้เฮนรี่และนาตาลี เมื่อเธอเข้าไปอยู่ในโอเวอร์เวิร์ล เธอได้พบกับเดนนิส เดอะ วูล์ฟที่เธอรัก ได้พูดคุยกับสตีฟและนั่นคือความสัมพันธ์ที่เธอมีกับนาตาลี”

 

สำหรับบรูคส์ ความสนใจในไมน์คราฟต์เป็นเรื่องง่ายมาก “ดอว์นพบว่าเธอเหมือนการ์เร็ตต์, สตีฟ, นาตาลี และเฮนรี่ เช่นเดียวกับดอว์นที่เราทุกคนพยายามหากลุ่มของเราเองและตกหลุมรัก นั่นคือสิ่งที่เป็นไมน์คราฟต์ เวลาที่ผมดูวีดีโอยูทูปที่เหล่าอินฟลูเอนเซอร์พูดคุยกัน มันเหมือนสังคมหนึ่ง และผรู้สึกว่าเธอเข้าได้ดีกับคนเหล่านี้”

 

หนึ่งในการสร้างมิตรภาพที่สำคัญขึ้นมาของดอว์นมาจากนาตาลี ที่แสดงโดยเอ็มม่า ไมเยอร์ส “พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก” บรูคส์กล่าว “ฉันรักมันมากเพราะฉันมีมิตรภาพที่ดีกับเอ็มม่า มันเหมือนผู้หญิง 2 คนมีการเลี้ยงดูเหมือนกัน มีความเป็นแม่ ความเป็นพี่น้องในตัวพวกเขา เป้าหมายของนาตาลีคือแน่ใจว่าเฮนรี่ยังมีชีวิต เป้าหมายของดอว์นคือแน่ใจว่าทั้งคู่ยังมีชีวิต พวกเธอผูกพันกันจากการพยายามสร้างภาพว่าตัวเองเป็นแบบไหน เป้าหมายในชีวิตคืออะไร พยายามมีชีวิตอยู่รอดจากทุกสิ่ง”

 

ไม่ใช่แค่ไมเยอร์ส บรูคส์ที่ผูกพัน แต่หมายถึงทีมนักแสดงทั้งหมดเลย “เป็นเรื่องยากมากที่จะทำหน้านิ่งระหว่างถ่ายทำเรื่องนี้” เธอกล่าว “เราหัวเราะคิกคักกันตลอดเวลา มันสนุกมากค่ะ ฉันสนุกที่ได้ร่วมงานกับทุกคน แจ็คเหมือนกับเพื่อนซี้ของฉัน ฉันคิดว่ามันเหมือนโลกของเขา เขามีส่วนร่วม 150% กับทุกสิ่งที่ทำ และมันสนุกมากที่ได้เรียนรู้จากเขา ไม่ว่าเขาจะรู้หรือไม่ก็ตาม ฉันคอยจับตาดูและสังเกตเขา คอยดูความฉลาดของเขา เจสันก็เป็นคนที่สนุกมาก เราจะไม่ได้เห็นเขารับบทตลกไปกว่านี้อีกแล้ว การดูเขาแสดงคือเรื่องสนุกมาก เขามีความอ่อนโยน ฉันผูกพันกับเซบาสเตียน ฮานเซนด้วยค่ะ เขาเหมือนคนที่พูดไม่หยุด แต่เขารู้ว่าจะต้องโฟกัสตอนไหน เขามีความสามารถสูงมาก รู้สึกสนุกที่ได้ดูเขาเติบโตและมีพัฒนาการ”

เธอเองก็รักการร่วมงานกับเฮส “เขาเป็นคนช่างจินตนาการมาก ฉันรักที่เขาคอยส่งโน้ตให้เรา” เธอกล่าว “เขาจะทำให้เราเห็นตลอดว่าเขาต้องการแบบไหน เวลาที่เขาพูดอะไรบางอย่างออกมา เราจะเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการทันที เป็นเรื่องที่สนุกดีนะคะ”

 

บรูคส์พิถีพิถันกับในหนังมาก เพราะมันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เธอสนใจ “ฉันเซ็นต์สัญญาเป็นนักแสดงเพราะฉันรักการได้ใช้จินตนาการของตัวเอง รักการเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่งที่ฉันไม่เคยได้สัมผัสในวันปกติ สำหรับฉันการเข้าไปอยู่ในโลกของไมน์คราฟต์เป็นเรื่องตื่นเต้นมาก ฉันไม่คิดว่าจะได้ทำอะไรแบบนี้ในช่วงล้านปีนี้” ฉันดีใจมากที่เส้นทางของฉันนำมาสู่ไมน์คราฟต์ ได้อยู่ในหนังที่ใช้ความสร้างสรรค์สร้างโลกสุดมหัศจรรย์สำหรับผู้ใหญ่ เพราะทำให้เราได้กลับเป็นเด็กอีกครั้ง ได้ปลดปล่อยความกลัวออกมา ได้เป็นอิสระและไม่ตัดสินตัวเอง เรามีชีวิตยาวนานขึ้นหากปล่อยให้ตัวเองได้สนุกสนาน ได้สำรวจและออกนอกกรอบ”

 

ตลอดการถ่ายทำ บรูคส์ได้รับการโน้มน้าวตลอดว่าหนังต้องตรงใจแฟนๆ ไมน์คราฟต์และมีอะไรมากกว่านั้น “ฉันรู้สึกว่าบรรดาผู้สร้างภาพยนตร์ทุ่มเทกับหนังมากและไม่มีถอยหลังเลย” เธอกล่าว  “พวกเขาต้องแน่ใจว่าทุกอย่างออกมาถูกต้อง มีอินฟลูเอนเซอร์ไนม์คราฟต์บางคนมาอยู่ในฉากด้วย มันช่วยสร้างความมั่นใจได้มากว่าเรามาในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว มีคนหนึ่งบอกว่าช่วงนาทีที่พวกเขาเห็นแจ็ค แบล็คในชุดนั้น เดินอยู่ในร่างของสตีฟ พวกเขารู้เลยว่าจะต้องเป็นหนังที่สนุกแน่ และเราให้เกียรติในความเป็นไมน์คราฟต์ของแฟนๆ มากด้วย

“ฉันคิดว่าผู้ใหญ่หลายคนจะพาลูกๆ หรือหลานๆ ไปดูหนังเรื่องนี้และรู้สึกว่า ‘ใช่เลย ฉันต้องการอะไรแบบนั้นล่ะ’” เธอกล่าวต่อ “ฉันอยากรู้สึกเหมือนเป็นเด็กคนหนึ่ง ออกเดินทางแบบนั้น ได้หัวเราะและทำอะไรบ้าๆ หรือรู้สึกอยากเล่นไมน์คราฟต์ตอนนี้เลย ฉันคิดว่ามันจะเชื่อมผู้คนเข้าด้วยกัน ทำให้พวกเขาคิดได้ว่าการอยู่ในจินตนาการก็ไม่ใช่เรื่องแย่”

 

เธอยังคิดด้วยว่าในหนังมีประเด็นที่สำคัญกว่านั้น “มันเป็นการทำลายข้อกำหนดว่าเราจะเห็นสาวๆ และผู้หญิงด้วยสีสันแบบไนห” บรูคส์กล่าว “ในนั้นมีความหลากหลายของตัวเรามาก รู้สึกตื่นเต้นที่ได้อยู่ในโปรเจ็กต์นี้ เพราะฉันรู้ว่ามีผู้หญิงหลายคนเล่นไมน์คราฟต์และรักวีดีโอเกม รักการทำอะไรแบบนี้”

 

“แดเนียล บรูคส์มีพลัง” บอยเตอร์กล่าว “ผมไม่มีทางรู้เลยว่าตอนนั้นเธอจะแสดงแบบไหน เธอมีพลังแห่งความสงสัยที่ส่งต่อไปให้เจสันและแจ็คได้อย่างงดงาม”

 

นาตาลีต้องพับแผนชีวิตเอาไว้ เพื่อดูแล เฮนรี่ น้องชายของเธอ 

เธอเก็บความรู้สึกได้ดีว่ามันไม่รบกวนชีวิตเธอเลย…ในหลายช่วงเวลา

 

นาตาลีมีความเป็นผู้เล่นที่เหมือนพ่อแม่หรือพี่น้องที่ไม่เข้าใจความสำคัญเรื่องความสร้างสรรค์

แต่เธอคอยสนับสนุนและผลักดันทำทุกอย่างเพื่อทีมเวิร์ค

เอ็มม่า ไมเยอร์สรับบทนาตาลี นักแสดงหญิงหลงใหลไมน์คราฟต์ตั้งแต่ตอนเธอเป็นเด็ก เธอเล่าว่า “ฉันชอบสร้างโรงแรมให้แกะ การใช้ความสร้างสรรค์คือเรื่องถนัดของฉันเลย” 

 

ไมเยอร์สรู้สึกตื่นเต้นที่ได้รับเลือกให้มารับบทที่ทำให้เธอได้พัฒนาตัวละคร “นาตาลีต้องรับมือความสูญเสียพ่อแม่ และตอนนี้เธอต้องสวมบทบาทแม่ของน้องชาย เธอพยายามรักษาความเป็นพี่น้องเอาไว้ แต่เธอเองก็อยากสนุกตามวัย แม้รู้ว่าตอนนี้เธอต้องรับผิดชอบทุกอย่าง เมื่อเธอกับเฮนรี่เข้าไปอยู่ในโอเวอร์เวิร์ลก็พบว่าทุกอย่างไม่ได้ซีเรียสอย่างที่เธอเห็น เธอได้ชื่นชมในความสามารถของน้องชาย สิ่งที่เขาทำ และความหลงใหลในตัวเขาขณะที่ต้องดูแลเขาเหมือนแม่ไปด้วย

 

“โอเวอร์เวิร์ลทำให้เธอเข้าใจความหลงใหล พรสวรรค์ และสิ่งต่างๆ ที่เธออยากทำชัดเจน หลายสิ่งที่เธอไม่เคยได้ทำเพราะภาระหน้าที่ต่างๆ ที่เธอต้องแบกรับ” ไมเยอร์สเล่าต่อ “การพาเธอเข้าสู่โอเวอร์เวิร์ลนับเป็นเรื่องที่ค่อนข้างดีสำหรับเธอ เธอได้คิดถึงชีวิตของตัวเองในรูปแบบที่ต่างออกไป ได้พบกับสตีฟที่คล้ายกับเฮนรี่มาก เขาทำเธอได้เห็นน้องชายในมุมที่ต่างออกไป และเธอสามารถปล่อยให้เขาได้สำรวจพรสวรรค์และความสร้างสรรค์ของตัวเองโดยไม่ต้องกังวลอะไร ในทางกลับกันนาตาลีได้ทบทวนชีวิตของตัวเองและความสร้างสรรค์ สตีฟรับบทบาทสำคัญในการพัฒนาตัวละครของนาตาลีตลอดทั้งเรื่อง ทำให้เธอได้รู้สึกถึงการเริ่มต้นใหม่”

 

ฉากหนึ่งที่เธอชอบคือตอนที่นาตาลีและดอว์นกำลังต่อสู้กับซอมบี้อย่างไม่รู้จบ พวกเขาเดินเข้าไปในป่าด้วยกัน “ฉันรักฉากนั้นเพราะรู้สึกว่ามันตลกดี แต่เป็นฉากที่วิเศษมากเพราะสุดท้ายนาตาลีได้บอกกับดอว์นว่าเธอรู้สึกอย่างไรและขอคำแนะนำจากเขา มันเป็นช่วงเวลาที่ดี ทั้งคู่ได้เปิดใจกันและก็เป็นฉากที่ตลกด้วย”

 

สิ่งหนึ่งที่ไมเยอร์พบว่ามีความท้าทายคือการทำหน้านิ่งตลอดการถ่ายทำ ซึ่งเป็นปัญหาทั่วไปสำหรับทีมงานและนักแสดง “ตัวละครของฉันไม่ชอบหัวเราะกับมุกตลกใดๆ” เธอหัวเราะ “ทุกคนสามารถหัวเราะได้ยกเว้นฉัน นับเป็นเรื่องยากมากในการร่วมงานกับแจ็ค แบล็ค ฉันต้องขอเวลาพักอยู่หลายครั้งเลย”

 

การถ่ายทำในนิวซีแลนด์ กองถ่ายใช้ประโยชน์จากการถ่ายทำในสถานที่ท้องถิ่นสำหรับพวกบทบาทสมทบ รวมถึงที่ Flight of the Conchords อันมีชื่อเสียง เฮสเล่าว่า “เรามีเบร็ต แม็คเคนซี่มารับบทชาวบ้านในเรื่อง ซึ่งเป็นคนรักของรอง ผอ. มาร์ลีน จากนั้นมีเจอเมน คลีเมนต์ รับบทดาริลที่การ์เร็ตต์พบที่กองเก็บสินค้าประมูล”

 

เพราะมีตัวละครมากมายและนักแสดงต้องสวมบทบาทต่างๆ ในเรื่อง “A Minecraft Movie” บอยเตอร์รู้สึกว่า “ภาพยนตร์จะทำให้ทุกคนรู้สึกดีกับสิ่งที่พวกเขาเป็นอยู่ในชีวิต และเข้าใจว่าพวกเขามีความสามารถในการปรับเปลี่ยนอะไรก็ได้ ตัวตนที่พวกเขาเป็น บรรยากาศที่พวกเขาวนเวียนอยู่ ไม่ว่าจะอายุ 15, 25 หรือ 55 ก็ตาม ภาพยนตร์เกี่ยวกับการเริ่มต้นและการสร้างสรรค์เพื่อมองโลกแตกต่างออกไป เป็นเรื่องของการปรับเปลี่ยนมุมมอง ภาพยนตร์ถ่ายทอดเรื่องราวประเด็นนั้นออกมาได้เป็นอย่างดี”

 

การสร้างโลกในระดับที่ยิ่งใหญ่

 

โลกของไมน์คราฟสร้างขึ้นมา 3 มุม โอเวอร์เวิร์ล เนเธอร์ และจุดจบ ที่โอเวอร์เวิร์ลเหมือนชีวิตจริงที่มีเพียงลูกบาศก์ ความเรียบง่าย ภูเขา ป่าไม้ วัว และหมู “มันควรทำให้รู้สึกคุ้นเคย” เจนส์ เบอร์เกนสเตน ผู้สร้างไมน์คราฟต์กล่าว “มันคือเอกลักษณ์ของไมน์คราฟต์ แต่ที่นั่นไม่มีความแปลกประหลาดอะไรเกิดขึ้นเลย” 

 

ที่เนเธอร์จะมีความต่างออกไป เป็นดินแดนที่ดูโหดเหี้ยม เต็มไปด้วยลาวา หินสีดงและดำ มีพวกพิกลินส์และแม่มดมัลโกชาที่ต้องการครอบครองโอเวอร์เวิร์ลอาศัยอยู่ ที่นั่นแสงอาทิตย์เข้าไม่ถึงและมีแต่ความมืดมิดอย่างไม่รู้จบ

 

เบอร์เกนสเตนใช้เวลาร่วมกับจาเรด เฮสและทีมวิชวลอยู่นานเพื่อสร้างภาพกราฟฟิคพื้นฐานของไมน์คราฟให้มีความสมจริง  ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นต้องมีหน้าตาแบบไหน? สีผิวของพวกเขาเป็นอย่างไร? บรรยากาศควรเป็นแบบไหน? ชาวบ้านที่นั่นและวูดแลนด์แมนชั่นเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญอื่นคือเรื่องของนักแสดงที่ต้องเดินในฉากได้ง่าย “ในไมน์คราฟต์แต่ละบล็อคจะมีขนาดเพียง 1x1x1 เมตร” เบอร์เกนสเตนเล่ารายละเอียด “มันใหญ่เกินกว่าจะเดินเล่นรอบๆ ได้ เรามีอิสระในรูปแบบพื้นที่สี่เหลี่ยม แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือทุกอย่างต้องดูเป็นเส้นตะแกรง  เหมือนทุกอย่างมีตะแกรงซ่อนอยู่ ในโลกใบนั้นเลยจะดูเป็นกล่องหรือทรงลูกบาศก์ทั่วทุกแห่ง”

 

สำหรับผู้ออกแบบฉาก แกรนท์ เมเจอร์ ไมน์คราฟต์มีความแตกต่างในรายละเอียดหลายระดับมาก “นี่เป็นโปรเจ็กต์แรกที่ผมได้ร่วมงานและมีการดัดแปลงผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเกม” เขากล่าว “การทำงานในสื่อที่มีความแตกต่าง 2 รูปแบบมีความน่าสนใจมาก วีดีโอเกมจะมีความตรงไปตรงมา มุมที่เห็นคือกล้องตัวหนึ่งคอยตามเราไปทุกที่และนั่นคือการได้สัมผัสโลกของเรา ส่วนภาพยนตร์จะมีความซับซ้อนเยอะกว่าหลายอย่าง เราสร้างฉากขึ้นมาจากกล้องที่มีการเคลื่อนไหวซับซ้อน และถ่ายทอดเรื่องราวในมุมอื่น ต้องมีการทำความเข้าใจสื่อเหล่านั้นและพยายามดัดแปลงสิ่งที่ทำซึ่งนับเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง”

 

อีกมุมหนึ่งคือฉากของหิน ในหนังต้องไม่มีความผิดพลาดจากไมน์คราฟต์เลย “เกมนี้มีฐานแฟนๆ ขนาดใหญ่ และมีสมาชิกผู้เล่นจำนวนมากจนเราจะพลาดไม่ได้เลย” เมเจอร์กล่าว “เราต้องเคารพกฎของไมน์คราฟต์ นั่นคือสิ่งที่สำคัญมาก และขณะเดียวกันเนื้อเรื่องก็ต้องมีคนจริง มันมีทั้งโลกที่จับต้องได้จริงและโลกดิจิตอลผมต้องเป็นผู้นำ นั่นคือการผจญภัยในแต่ละวัน โลกแห่งความจริงกกับโลกดิจิตอลมาบรรจบกัน มันจะถ่ายทอดตัวเองออกมาอย่างไร?

 

“ทีมงาน Mojang รับหน้าที่สำคัญในการออกแบบโลกของไมน์คราฟต์ ทุกอย่างมารวมเข้าด้วยกัน เราจะทำให้เรดสโตนดูเหมือนของจริงได้อย่างไร? เราจะทำให้เพชรดูเหมือนเพชรจริงได้อย่างไร โดยที่ยังมีความเป็นเพชรของไมน์คราฟต์? มันมีจุดเล็กๆ น้อยๆ ของไมน์คราฟต์ที่เราใช้เวลาสร้างความถูกต้องอยู่นาน”

 

ส่วนสำคัญที่สุดในโลกของลูกบาศก์ คืออุปสรรคสำคัญอย่างแรกที่เราต้องจัดการ “เรายังคงทำให้ทุกอย่างดูหนาและสั้น” ผู้ออกแบบกล่าว “มีความเทอะทะ ดูเป็นเหลี่ยม หนาและสั้น ทุกอย่างในไมน์คราฟต์จะเป็นขนาดลูกบาศก์และเป็นขนาดมาตรฐาน ดูมีความใหญ่ แต่ในฐานะมนุษย์พวกลูกบาศก์เหล่านั้นยากที่จะจัดการ เราต้องใช้ลูกบาศก์ที่มีสัดส่วนต่างกันเพื่อเดินข้ามและเดินผ่าน ทำให้ทุกอย่างเป็นรูปร่างขึ้นมาได้ มันมีความซับซ้อนมาก”

 

อีกรายละเอียดหนึ่งคือเนื้อเรื่องระหว่างเกมกับภาพยนตร์ “ในโลกดิจิตอลทุกอย่างจะดูมีรายละเอียดค่อนข้างน้อย” เมเจอร์อธิบาย “ผมต้องถ่ายทอดการออกแบบนั้นสู่ผลงานจริง ตัวอย่างเช่น บล็อกที่ดูสกปรกอย่างที่เห็นในไมน์คราฟต์จะมีขนาดเล็กกว่าเมื่ออยู่บนกรวด เราต้องออกแบบบล็อกเหมืองแร่มีก้อนกรวด แต่มันควรดูสกปรกแบบเรียบๆ หรือมีรายละเอียดในนั้นด้วย? ในส่วนของหญ้าต้องมีสี่เหลี่ยมตรงปลายด้วยหรือไม่? มีรายละเอียดหลายอย่างที่รวมไว้ในการออกแบบหนังให้พิจารณาเป็นพิเศษ และเราสร้างทุกอย่างที่เห็นในหนังขึ้นมา ต้นไม้ต้องมีพุ่มกระเซิง ใบไม้ต้องมีรายละเอียดไม่ให้ดูแบนราบเกินไป ทุกอย่างต้องมีมิติให้เห็น”

 

ขั้นตอนการทำงานของเมเจอร์คือการทำให้ภาพยนตร์เห็นรูปร่างชัดเจน เขามีการสร้างบทสำหรับภาพขึ้นมา มีการผลิตคอนเซปต์อาร์ทเวิร์คภาพวาดในช่วงเวลาต่างๆ ของเรื่อง จากนั้นเราจะนำไปให้จาเรด เฮสและผู้อำนวยการสร้างฯ ดู ทุกฉากจะมีความโดดเด่นอย่างชัดเจน “มันไม่ใช่แค่การสร้างบรรยากาศขึ้นมาด้วยสิ่งก่อสร้าง แต่มีการขยายฉากและโลกในแต่ละส่วนออกมาด้วย มันมีรายละเอียดหลายร้อยส่วน” เมเจอร์กล่าว “คอนเซ็ปต์พวกนี้ไม่ใช่แค่ทำให้ทุกคนเห็นภาพตรงกัน พวกเขายังร่วมมือกับแผนกวิชวลอาร์ทที่ต้องสร้างโมเดล 3 มิติขึ้นมาด้วย ซึ่งมันเป็นผลงานที่แยกแต่ละชิ้นส่วน ในโลกของไมน์คราฟต์ โลกของภาพทิวทัศน์ ทุกอย่างล้วนมีรูปทรงของมัน”

 

เพราะภาพลักษณ์ที่มีความทันสมัยมาก ทำให้เมเจอร์ต้องปรับแต่งเทคนิคใหม่ๆ หลายอย่างขึ้นมา เพื่อสร้างโลกที่มีเอกลักษณ์ “ตัวอย่างเช่น” เขากล่าว “เห็ดไมน์คราฟต์ไม่ใช่สิ่งที่เราไปหาซื้อได้ เราต้องสร้างมันขึ้นมาตั้งแต่คำแรก”

 

ทุกสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา เมเจอร์และทีมงานต้องแน่ใจว่าตรงใจกับแฟนๆ ไมน์คราฟต์ “เราใส่ใจในการสร้างวูดแลนด์ แมนชั่นขึ้นมาเพื่อทำให้ทุกคนในเกมจดจำได้” เขากล่าว “ฮีโร่ของเราได้สัมผัสมันบ่อยมาก เราต้องผ่านเลเวลต่างๆ และพบหลายประสบการณ์ ชั้นล่างมีความยิ่งใหญ่และมีสัดส่วนที่กว้างมาก ส่วนชั้นที่สองจะเล็กลงมานิดนึง ส่วนชั้นที่ 3 พื้นที่จะแคบลงหน่อยจนไปถึงห้องรวมของที่ได้มา ความท้าทายอย่างหนึ่งคือการสร้างเอกลักษณ์ต่างๆ ขึ้นมา เช่น พรมสีแดงและขาวรวมถึงพื้นไม้ทั่วทุกแห่ง”

 

เมเจอร์ยังมีการเพิ่มรายละเอียดจากในเกม เพื่อทำให้วูดแลน์ แมนชั่นดูเหมือนแมนชั่น เช่น ภาพวาดน่ากลัวบนผนัง ผู้เล่นจะจดจำได้และทำให้แมนชั่นมีกลิ่นอายของบ้านผีสิง เขายังมีการออกแบบวอลเปเปอร์สีม่วงเพื่อสร้างความแตกต่างให้กับบรรยากาศของไม้และหินด้วย

 

สำหรับประตูเข้าสู่โอเวอร์เวิร์ล มันต้องเป็นไปตามกฎของไมน์คราฟต์ ทีมงานของเมเจอร์ได้สร้างโครงหินสีดำที่เป็นบล็อกไมน์คราฟต์สูง 5 ชิ้นและกว้าง 4 ชิ้น กนั้นนำมาสร้างลวดลายด้วยวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ที่อยู่ด้านในซึ่งตัวละครต่างๆ จะใช้เข้าออก เมเจอร์ยังมีการใช้ลวดสลิงสำหรับแสดงผาดโผนเวลาที่นักแสดงตกและต้องแสดงกายกรรมด้วย 

 

เมื่อมาถึงช่วงการออกแบบป่า เมเจอร์พิถีพิถันอย่างเป็นพิเศษในเรื่องการออกแบบต้นไม้และพุ่มไม้ของไมน์คราฟต์และ “เราต้องสร้างทุกอย่างขึ้นมา ตั้งแต่ต้นไม้ไปจนถึงดอกไม้ เราสามารถสร้างให้เหมาะสมตามมาตรฐานของไมน์คราฟต์ได้ ซึ่งเป็นทรงสี่เหลี่ยมและดูเป็นกล่อง ไมน์คราฟต์จะมีต้นไม้รูปแบบที่แตกต่างกันไป มีต้นเบิร์ชที่เหมาะกับไมน์คราฟต์ เรายังมีต้นไพน์ ต้นโอ๊ค ต้นวิลโลว์ และต้นเชอร์รี่มาสร้างสีสันและความโดดเด่น ต้นไม้จะผลิตขึ้นมาด้วยต้นไม้ล้อมโครงสร้างเหล็กมีการลงสีด้านนอกปลาสเตอร์ ต้นไม้ที่สูงระฟ้าจะมีโครงเหล็กที่ตกแต่งด้วยผ้าไหม และมีข้าวของต่างๆ ที่ทำให้สีเขียวดูเหมาะกับใบไม้”

 

ฉากหนึ่งที่เมเจอร์ชอบมากคือห้องเก็บของสตีฟ ที่เขาเก็บรักษาสิ่งที่มีความหมายต่างๆ เขาสะสมมานานหลายปี “สตีฟเรียนรู้วิธีออกแบบและเขาร่างจากบล็อคเป็นอย่างแรก” เมเจอร์กล่าว “เขาสร้างบ้านหลังแรกของเขาขึ้นมา โดยผลิตจากดิน ส่วนบ้านหลังที่สองจะดูมีการพัฒนามากขึ้นและผลิตจากหิน ส่วนบ้านหลังที่ 3 เขาผลิตจากขนแกะ สิ่งที่ผมชอบในห้องเก็บของสตีฟคือชุดเกราะ เหล็ก และทอง เราแอบเห็นว่ามีหมวกเพชรอยู่ในนั้นด้วย ผมชอบพวกมันเพราะแสดงให้เห็นตัวตนหลายอย่างจากข้าวของ”

 

เซฟเฮาส์ออกแบบให้เป็นพื้นที่ผจญภัยของดอว์นและนาตาลี ขณะที่คนอื่นๆ อยู่กับความหวาดกลัวในวูดแลนด์ แมนชั่น ผู้หญิงหาจุดปลอดภัยให้ตัวเองก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ช่วงที่ซอมบี้และโครงกระดูกโผล่ออกมา ดอว์นและนาตาลีสร้างเซฟเฮาส์อยู่ในเห็ดยักษ์ พวกเขาต้องเดินผ่านป่าพุ่มไม้ใหญ่ สร้างความสนุกสนาน มีภาพที่งดงาม เป็นประสบการณ์ที่สดใส

 

เมเจอร์รู้สึกประทับใจในความสร้างสรรค์ของจาเร็ด เฮสและสปิริตในการร่วมงานด้วยกัน “จาเร็ดรู้สึกเป็นที่ยอมรับและเปิดใจว่าเขาอยากให้ภาพยนตร์ออกมาแบบไหน” เมเจอร์กล่าว “เขามีไอเดียดีๆ หลายอย่างเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของเรื่องในชูกลาส ไอดาโฮ เขามีอารมณ์ขันอย่างน่าทึ่ง ผมอยากถ่ายทอดออกมาอย่างเต็มที่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

 

เหมือนกับหนังเรื่องอื่นๆ ที่ต้องอิงจากกระแสทางวัฒนธรม เรื่อง “A Minecraft Movie” มีการใส่อีสเตอร์เอ้กที่ผู้เล่นจะมีความสุขที่ได้เห็น ตั้งแต่กระดานดำน้ำไปจนถึงแมงมุมและเล่นมุกตลกเกี่ยวกับชาวบ้านทั่วไป “แฟนๆ จะเข้าใจในความหมายเกี่ยวกับสัญลักษณ์รอบหมู่บ้านมิดพอร์ท” เมเจอร์เล่าว่า “ทุกอย่างดูเหมือนฝัน แต่มันคือส่วนสำคัญในภาษาไมน์คราฟต์”

 

“ฉากทั้งหมดมีรายละเอียดเยอะมาก และผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าตื่นตาสุดๆ” จาเรด เฮสกล่าว “หมู่บ้านมิดพอร์ทมีความน่าทึ่งมาก มีการต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างกลุ่มพิกลินส์และนั่นคือฉากโปรดฉากหนึ่งของผมเลย”

 

เจนส์ เบอร์เกนสเตน ผู้สร้างไมน์คราฟต์เห็นด้วยว่า “แกรนท์คือตำนานตัวจริง ผมดูหนังของเขาหลายเรื่อง มันวิเศษมากที่มีคนเก่งมาร่วมงานในเรื่อง ‘A Minecraft Movie’”

 

ฉากต่างๆ ยังสร้างความประทับใจให้ผู้เล่นไมน์คราฟต์อย่างเซบาสเตียน ฮานเซนได้ด้วย “สิ่งที่สะท้อนถึงตัวผมที่สุดคือความงดงามของฉาก และมันมีหน้าตาเหมือนในเกมขนาดไหน” เขากล่าว “ในฐานะของคนเล่นเกมมาตลอด มันดูสมจริงมาก ดูเหมือนในเกมเลยล่ะ ในหนังดูน่าทึ่งมาก ตอนที่ผมได้เข้าไปอยู่ในฉากและเห็นทุกอย่างตรงหน้า มันดูงดงามมากเลย”

 

ผู้ที่ร่วมงานกับเมเจอร์ยังมีผู้ออกแบบฉาก แอมเบอร์ ริชาร์ดส เธอมีหน้าที่จัดหาข้าวของที่จำเป็นสำหรับฉากของเมเจอร์ “เรารู้สึกเครียดกันตลอดเวลาที่ต้องนำของไปเสนอให้ Mojang อนุมัติ” ริชาร์ดสกล่าว  “สิ่งแรกกที่เราต้องข้ามเส้นกีดขวาง คือการตีความว่าแอปเปิ้ลควรมีหน้าตาแบบไหน: ต้องเป็นสี่เหลี่ยมที่มีความกลมและเข้าใจได้ว่ามันคือแอปเปิ้ล เราใช้เป็นจุดอ้างอิงในการสร้างสิ่งต่างๆ ในเกม”

 

ริชาร์ดสและทีมงานของเขาได้สร้างผลไม้ ผัก และก้อนขนแกะสำหรับตลาดในหมู่บ้านมิดพอร์ที่เกิดการต่อสู้ขึ้น ส่วนทะเลทรายจะมีความแตกต่างสูงมาก รวมถึงการตกแต่งฉากวูดแลนด์ แมนชั่น ทีมงานต้องใช้ความสามารถหลายด้านในการทำงานขั้นตอนนี้ ต้องใช้เวลานานเพื่อสร้างความสมบูรณ์แบบแต่สุดท้ายความตั้งใจของเขาก็เป็นผล

 

“สำหรับวอลเปเปอร์ในวูดแลนด์แมนชั่น เราปริน์สีม่วงและเคลือบสีทองด้วยผลสี จากนั้นทำให้มันดูมีความเก่าขึ้นมาหน่อย ผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้มีความน่าทึ่งมาก” เธอกล่าวว “สำหรับตลาดหมู่บ้านมิดพอร์ทเราต้องใช้ความอดทนสูงมาก มีรายละเอียดหลายส่วนในเกมที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ได้ เพราะเราพยายามรักษาบรรยากาศให้เป็นไมน์คราฟต์ เราต้องอิงหลายอย่างตามเกมทุกครั้งและดึงสิ่งต่างๆ ที่เราใช้สำหรับการออกแบบมารวมกัน”

 

หนึ่งในความท้าทายที่น่าสนุกสำหรับริชาร์ดส คือร้านเกมโอเวอร์ของการ์เร็ตต์ ในฐานะของผู้ที่หลงอยู่ในยุค 1980 ช่วงที่เขาติดเกมมาก ร้านค้านี้สะท้อนตัวตนของเขา มีเกมวินเทจและโปสเตอร์เยอะมาก ริชาร์ดสและทีมงานของเธอเลือกมาตั้งแต่แรกเริ่ม และเพราะกล้องได้เก็บภาพรอบร้าน 360 องศา ทำให้พวกเขาต้องตกแต่งฉากทั้งหมดขึ้นมา นี่คือความภูมิใจของีมงานเธอ เธอเล่าว่า “เราพยายามสร้างฉากเต็มรูปแบบขึ้นมาสำหรับนักแสดงและผู้กำกับฯ ไม่ว่าพวกเขาจะถ่ายทำมุมไหนก็ตาม พวกเขาจะถูกบรรยากาศนั้นโอบล้อม หลายครั้งที่เรามองไม่ค่อยเห็นอะไรและนั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเศร้า แต่ในร้านเกมโอเวอร์ คุณจะเห็นทุกอย่างครบถ้วน มันน่าทึ่งสำหรับเรามากค่ะ

 

“จาเรด เฮสเป็นผู้ร่วมงานที่น่าทึ่งมาก” ริชาร์ดสเล่าต่อ “เขามีความสร้างสรรค์และใส่อารมณ์ขันลงไปในหนังเยอะมาก เขาถ่ายทอดความเรโทรที่งดงามลงไปหลายมุม มีส่วนร่วมหลายสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา เช่น เกม Hunk City Rampage game ที่เขาร่วมงานกับผู้ออกแบบกราฟฟิคของผมในส่วนอาร์ทเวิร์คทั้งหมด เพื่อให้ได้ภาพตรงตามที่เขาคิดเอาไว้ สำหรับพวกเรามันออกมาดีมาก เขามีจินตนาการชัดเจนและน่ายินดีเสมอหากเราถ่ายทอดสิ่งนั้นออกมาได้ และการมีทอร์ไฟ โอลาฟสันจาก Mojang มาร่วมงานด้วยก็เป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะเขามีความรู้ในระดับที่เราไม่สามารถทำได้ในการค้นหาข้อมูล กลุ่มของอินฟลูเอนเซอร์ไมน์คราฟต์มาเยี่ยมชมในฉาก เมื่อพวกเขาเห็นการตกแต่งร้านที่มีฟักทองและโต๊ะแกะสลัก ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมชอบมาก เพราะมันผลิตขึ้นมาจากงานไม้อย่างพิถีพิถัน พวกเขารักมันมากและเป็นสิ่งที่ค่อนข้างน่าประทับใจ” 

 

แม็ตต์ คอร์นีเลียม ผู้ชำนาญด้านการครอบครองสิทธิ์ร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ออกแบบฉาก แกรนท์ เมเจอร์ และแอมเบอร์ ริชาร์ดส ผู้ออกแบบฉาก รวมถึงผู้กำกับฯ จาเรด เฮส ทีม Mojang และทีมนักแสดงเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนแฮปปี้ในการออกแบบของเขา เขาเริ่มสร้างฉาก 10 ก่อนที่ภาพยนตร์จะเริ่มเปิดกล้อง 

 

ผู้ชำนาญด้านฉากพบว่าการร่วมงานกับเฮสคือสิ่งที่ดีมาก “จาเรดเป็นคนที่น่าทึ่งมาก เป็นคนตลก และเข้าถึงได้ง่าย” เขากล่าว “ทุกการประชุมร่วมกับเขามีแต่ความสุข เขาร่วมมือดีมากและมีจินตนาการชัดเจน เขารู้ว่าตัวเองต้องการอะไรและเราต้องทำงานในทิศทางไหน”

 

คอร์นีเลียสกล่าวย้ำว่า “มันสำคัญมากที่ต้องถ่ายทอดทุกอย่างให้ถูกต้องตามเกม เพราะมันคือการนำเกมมาสร้างมีชีวิตขึ้นมา ทอร์ไฟ โอลาฟสันจาก Mojang ช่วยป้อนข้อมูลให้เราดีมาก และเขานำเราไปสู่ความมั่นใจว่าเขาแฮปี้กับการนำเสนอเกมที่มีเอกลักษณ์ของเขาออกมา มันวิเศษมากที่เขาหยิบยกสิ่งต่างๆ ขึ้นมาและพูดว่า ‘ใช่เลย!’ ตั้งแต่เกมดิจิตอล ดิจิตอลแพลทฟอร์ม จนถึงโลกแห่งความจริง มันน่าตื่นเต้นมากทุ่กอย่างมีชีวิตขึ้นมา”

 

ฉากหนึ่งที่ดูโดดเด่นคือการออกแบบดาบโดยเฮนรี่สตีฟใช้ในการต่อสู้หลายฉาก “เราออกแบบดาบที่เหมือนกับในเกมขึ้นมา” คอร์นีเลียสกล่าว “ซึ่งมีขนาดและสัดส่วนตรงกับในเกมเป๊ะ จากนั้นมีการออกแบบอาวุธที่ใช้งานจริงจากธรรชาติ ทำให้มันดูมีความแตกต่างและเท่ขึ้น โลกของไมน์คราฟต์จะเป็นสี่เหลี่ยมและพวกข้าวของสี่เหลี่ยมจะหยิบจับไม่ถนัด มันเลยเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง เรามีการเพิ่มบางส่วนเข้าไปในฉากแต่ยังคงยึดเส้นตรงตามเดิมเป็นส่วนใหญ่”

 

คุณภาพระดับนี้สำเร็จได้โดยการเพิ่มพิกเซลและเทคนิคการออกแบบ “เราอาศัยการออกแบบที่ทำให้ได้ดาบที่ดูซับซ้อน แต่มีลักษณะตรงตามเกมด้วย” เขากล่าวเสริม “เราใช้การออกแบบตามหลักกับอาวุธและของตกแต่งต่างๆ ในไมน์คราฟต์”

 

ทีมงานต้องสร้างของตกแต่งสำรองขึ้นมาประมาณ 20 และ 30 ชุด “มันเกิดการพังระหว่างวันในฉากต่อสู้ครั้งใหญ่” คอร์นีเลียสอธิบาย “เราผลิตสำหรับการแสดงผาดโผนมาชุดหนึ่งซึ่งมีลักษณะนุ่มมาก อีกชุดจะเป็นโฟมและบางส่วนจะโดนตัด ทีมฝ่ายประดิษฐ์ลาสีได้ผลิตฉากที่เหมือนกันขึ้นมา จนเราบอกความแตกต่างไม่ได้ระหว่างของจริงกับของที่ผลิตขึ้นจากเหล็กและไม้ พวกเขาคือศิลปินตัวจริง หากเป็นฉากที่ผลิตจากไม้เราจำให้มันดูเป็นเหล็กไม้ที่มีสนิม เราพยายามทำให้ดูสมจริงและดูไม่เหมือนบรรยากาศของเกมเด็ก มันคือโลกแห่งความจริงที่มีคราบดินฝุ่นและสิ่งสกปรก ดูไม่เหมือนเกมหรือของเล่นจนเกินไป มันคืออาวุธที่มีน้ำหนักจริง”

 

สิ่งเดียวกันเกิดขึ้นกับทีมงานของมัลโกชา แม้ว่าบางส่วนจะอาศัยดิจิตอลแต่ก็ยังต้องผลิตของจริงขึ้นมา ทำให้มันดูมีความเก่า ทีมงานต้องสสร้างขึ้นมา 4 เวอร์ชัน ทั้งแบบนุ่มกว่าสำหรับใช้ในฉากต่อสู้ และอีกชุดถูกแขวนด้วยเอิร์ธ คริสตัล 

 

ผู้ออกแบบของตกแต่งฉาก พอลลี่ วอล์คเกอร์ ส่วนหนึ่งในทีมงานของคอร์ลีเนียสทำการผลิตโมเดล 3 มิติให้ของตกแต่งทั้งหมด ตั้งแต่ทำการเรนเดอร์และขึ้นรูปด้วยวัสดุจริง “ถ้าพวกเขาไม่ผลิตของจริงขึ้นมาด้วยมือ เราก็ต้องปรินท์และทำให้ออกมาในแบบ 3 มิติ” คอร์นีเลียสอธิบาย “จากนั้นเราจะเอามันกลับมาที่เวิร์คชอปของเรา และขึ้นรูปตามจำนวนของเรา การออกแบบทั้งหมดเสร็จสิ้นบนคอมพิวเตอร์และเป็นโมเดล 3 มิติ ทำให้เราสามมารถหมุนโมเดลได้รอบด้าน สังเกตพวกมันได้อย่างละเอียด เติมสี และเร็นเดอร์ออกมาก่อนที่จะผลิตด้วยวัสดุจริง การปรินท์ 3 มิติออกมาทำให้เราออกแบบของตกแต่งฉากได้ซับซ้อน ผลิตผลงานได้รวดเร็วกว่าปกติ”

 

คอร์นีเลียสพูดถึงพลั่วที่ดอว์นใช้ในการต่อสู้ที่หมู่บ้าน “เป็นการออกแบบไมน์คราฟต์ที่โดดเด่นมาก” เขากล่าว “มันเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นพลั่ว แต่ไม่มีใครเคยเห็นแบบนี้มาก่อน มีการใส่พิกเซลและทำให้ดูเก่าขึ้น ทั้งหมดเป็นยางที่นุ่ม น้ำหนักเบา และโครงร่างเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ มันดูเหมือนเป็นไม้แต่ไม่ใช่เลย มันคือยาง”

 

ทีมงานออกแบบฉากและของตกแต่งฉากเสริมบรรยากาศคลังแสงในหมู่บ้านมิดพอร์ทด้วยลูกบาศก์ที่เป็นทรัพยากรสำหรับตัวละครใช้ในหนังเพื่อผลิตอาวุธ การสร้างสรรค์สุดท้ายของพวกเขารวมถึงพวกดาบ ขวนา ถังน้ำ ธนู บางอันก็ดูใหม่ บางอันก็ดูมีฝุ่นเกาะเหมือนใช้มานานแขวนอยู่บนผนัง “มันต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างแผนกของเรากับผู้ออกแบบฉากเยอะมาก” คอร์นีเลียสอธิบาย “เราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสร้างของแต่งฉากให้ดูสมจริง เช่น ขวานเพชรที่เฮนรี่พบในวูดแลนด์ แมนชั่น เราอยากให้มันดูสมจริงที่สุดเพราะมันเป็นของตกแต่งที่มีเอกลักษณ์ และมันต้องดูเก่า มันอยู่ในกล่องมานานหลายปีแล้ว”

 

เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมงานของเขาที่อยากเห็นและจับต้องโมเดล 3 มิติของสิ่งตกแต่งฉาก เพื่อทดสอบความเหมาะสมของพวกมัน คอร์นีเลียสและทีมงานของเขาร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับแผนกผาดโผน จนกว่าพวกเขาจะแฮปปี้กับการออกแบบ “พวกเขาสร้างการออกแบบผาดโผนในระดับที่เราต้องการ” เขาอธิบาย

 

ตัวอย่างหนึ่งคือหาบยกถังน้ำ “มันมีความท้าทายจากขนาด” คอร์นีเลียสกล่าว “มันคือถังธรรมดา แต่เราออกแบบและผลิตให้มันดูเหวี่ยงได้ ซึ่งจะมีสายโซ่ระหว่างถังเหล็กที่หนัก 2 ใบนั้น แผนกผาดโผนขอให้เราผลิตถังที่มีน้ำหนักเบาชุดหนึ่ง และมีสไตล์ที่แตกต่างไปเพื่อสร้างความแน่ใจเรื่องความปลอดภัย แตก็ต้องดูเหมือนของตกแต่งฉากที่มีความหนัก มีการถูกเหวี่ยงในช่วงที่เกิดการต่อสู้ในหมู่บ้านอย่างวุ่นวาย เราต้องใช้ความคิดอย่างหนักร่วมกับหลายแผนก เพื่อให้แน่ใจว่าเราถ่ายทอดบางสิ่งที่ใกช้สำหรับการแสดงผาดโผนที่ซับซ้อนได้”

 

ทุกคนที่มีส่วนร่วมจะมีฉากโปรดของตัวเอง สำหรับโอลาฟสันคือฉากวูดแลนด์แมนชั่น “ผมได้ใช้เวลาอยูที่นั่นระหว่างเล่นเกม และเป็นที่เดียวที่เห็นความเป็นบล็อกและพิกเซล จากนั้นได้อยูในฉากที่พวกเขาสร้างทุกอย่างขึ้นมา!” เขาตกใจ “ได้เดินผ่านทางเดินที่ดูสมจริงและน่าทึ่งมาก มีความแปลกใหม่เพราะเป็นก้าวใหม่ที่ได้พบเจอ”

 

ไม่ใช่แค่ผู้บริหารจาก Mojang ที่พอใจกับบรรยากาศมาก “หมู่บ้านมิดพอร์ทเป็นฉากที่น่าทึ่งมาก เต็มไปด้วยสีสันและรายละเอียดที่ตลก มีพวกแอปเปิ้ลและฟักทองทรงเหลี่ยมเล็กๆ ในมิดพอร์ทวิลเลจยังมีห้องเก็บข้องสตีฟ เฮนรี่ได้เรียนรู้เกี่ยวการสร้างสรรค์และการ์เร็ตต์เองก็พยายามสร้างบางสิ่งออกมา บนชั้นวางของก็เต็มไปด้วยรายละเอียดต่างๆ และมีอีสเตอร์เอ้กจากเกม นับเป็นความน่ายินดีและสนุกมากที่ได้ร่วมงานกับผู้ออกแบบฉาก ได้ตัดสินว่าอะไรควรอยู่ตรงไหน”

 

รายละเอียดสำคัญอย่างหนึ่งของเราที่ทำให้โอลาฟสันชอบ และควรสร้างความตื่นเต้นให้ผู้เล่นไมน์คราฟต์ได้เป็นพิเศษ “ผมรักที่เราได้รับการอนุญาตจากคริสโตเฟอร์ เซตเตอร์เบิร์ก ภาพต้นฉบับที่ปรินท์ออกมาจากภาพวาดรายละเอียดต่ำของไมน์คราฟต์เมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา เราสามารถสร้างรายละเอียดที่มีความถี่สูงและเพิ่มรายละเอียดบางส่วนที่มีรายละเอียดบางอย่าง สร้างภาพที่สมจริงขึ้นได้ทั้งห้องเก็บของสตีฟและวูดแลนด์แมนชั่น”

 

แจ็ค แบล็คกล่าวสรุป: “แกรนท์ เมเจอร์เป็นผู้ออกแบบฉากและเขาสร้างสีสันขึ้นมาให้กับทุกอย่างในเรื่องนี้ การออกแบบฉากทั้งหมดมีความน่าทึ่งมาก เวลาที่เราเห็นฉากและของตกแต่งต่างๆ คุณจะต้องอึ้งกับความสมจริงและความงดงามของโลกใบนี้ มีการใช้รายละเอียดจากวีดีโอเกมทั้งหมดเลย แม้แต่ไก่ย่างก็เป็นลูกบาศก์เช่นกัน”

 

ไมเยอร์สเป็นผู้ทุ่มเทให้กับเกมและเป็นแฟนผลงานของเมเจอร์เช่นกัน “ในฐานะของเด็กคนหนึ่งที่เล่นไมน์คราฟต์ มันรู้สึกว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เพราะมันเป็นโลกที่เปิดกว้าง” เธอกล่าว “การได้เข้าไปในฉาก เห็นทุกการออกแบบฉากคือเรื่องเหลือเชื่อ หมู่บ้านมิดพอร์ทคือฉากโปรดของฉันเลย เพราะในเกมฉันชอบเข้าไปในหมู่บ้านและขโมยทุกอย่าง มันดูจับต้องได้จริง ทุกห้องมีทุกสิ่งที่เราเคยเห็นในเกมด้วยล่ะ”

 

สถานที่ถ่ายทำ

 

ไมน์คราฟต์เริ่มการถ่ายทำเมื่อเดือนมกราคม  2025 และถ่ายทำทั้งหมดในนิวซีแลนด์ “ฉันรักการถ่ายทำในโรงถ่าย เฮสกล่าว “แต่บางครั้งบรรยากาศของกรีนสกรีนก็ค่อนข้างมีรายละเอียดมาก แค่อยากให้เซโรโตนินเพิ่มระดับขึ้นมาหน่อย ได้อกไปข้างนอก สัมผัสความงดงามของเมืองที่สวยจนเหลือเชื่อแห่งนี้”

 

สำหรับฉากของโลกแห่งความจริงเกิดขึ้นในเมืองที่สร้างขึ้นมาของ Chuglass ไอดาโฮ นาตาลีและเฮนรี่ย้ายไปที่นั่นตอนเริ่มเรื่อง กองถ่ายทำที่ฮันลี่เพราะมีความสะดวกที่มีสถานีไฟฟ้าขนาดใหญ่ สามารถใช้จำลองเป็นโรงงานมันฝรั่งที่ในเมืองใช้กันเป็นส่วนใหญ่ได้ รวมถึงผู้มาเยือนใหม่อย่างนาตาลีด้วย กองถ่ายมีการถ่ายทำที่เฮเลนวิลล์ ใกล้กับโอ๊คแลนด์ เพื่อถ่ายทำบรรยากาศภายในร้านเกมโอเวอร์และสวนสัตว์เลี้ยง

“ฮันลี่มีความน่าทึ่งมาก” ผู้ออกแบบฉาก แกรนท์ เมเจอร์กล่าว “เป็นการค้นพบที่ดีมากจริงๆ เพราะมันมีสิ่งที่เราเรียกได้ว่าเป็นถนนอเมริกัน ไม่ค่อยมีรั้วและผนังกั้นระหว่างบ้าน เป็นถนนที่เปิดกว้าง มีต้นไม้ผลัดใบ รวมถึงโรงไฟฟ้า นับเป็นความท้าทายที่จะหาบรรยากาศแบบอเมริกาที่ตัวเมืองนิวซีแลนด์ ผมคิดว่าเราทำออกมาได้ดี”

แน่นอนว่านิวซีแลนด์สร้างความประทับใจให้ทีมงานและนักแสดง เจสัน โมโมอาเล่าว่า “ช่วงเวลาแกที่ผมแลนด์ นับเป็นที่แรกเลยที่ผมมาถึงแล้วรู้สึกว่า ‘ว้าว ฉันอยากอยู่ที่นี่แหละ ผมเดินทางจากเกาะทางตอนเหนือไปยังตอนล่างนาน 2 เดือน ใช้ชีวิตเหมือนกลุ่มนักเดินทาง และผมมักจะเดินทางกลับมาเพราะผู้คน เพราะวัฒนธรรม มันคือความงดงามที่ได้เป็นชาวฮาวาย ได้เดินเล่นและเห็นเมารีที่ดูเหมือนคุณลุงและคุณป้าของเรา ได้เห็นคนผิวสีน้ำตาลมากมายที่นั่น มันงดงามมากเลย ผมเข้าใจและพูดภาษาที่นั่นได้ด้วย มีการนำมาใช้อย่างงดงาม มีเพียงไม่กี่ที่บนโลกที่มีอะไรแบบนั้น เข้าใจได้ที่ไมน์คราฟต์มีการถ่ายทำกันที่นี่ เพราะนับเป็นที่ยิ่งใหญ่และงดงามที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ และยังมีอีกหลายฉากเบื้องหลังที่เกิดขึ้นที่นี่เช่นกัน”

 

“การถ่ายทำที่นิวซีลนด์เป็นหนึ่งในสุดยอดประสบการณ์ถ่ายทำที่ดีที่สุดในชีวิตเลย” เฮสกล่าว “ทีมงานมีความน่าทึ่งมาก ทุกคนให้ความร่วมมือกันอย่างดี พวกเขานำเราไปไกลกว่าเรา 10 ก้าวตลอด สถานที่ทุกแห่งก็น่าทึ่งมาก ไม่ว่าเราจะถ่ายทำกันที่ไหนจะมีชาวบ้านท้องถิ่นต้อนรับพวกเราและให้ความช่วยเหลือดีมาก เราจ้างคนท้องถิ่นที่ฮันต์ลี่เพื่อให้มาเป็นส่วนหนึ่งในทีมงานด้วย ฉันไม่เคยเจออะไรแบบนั้นเลยในการถ่ายทำเรื่องอื่น”

 

ผู้สร้างภาพยนตร์โชคดีในเรื่องเวลาการถ่ายทำภาพยนตร์ พวกเขาสามารถทำงานร่วมกับทีมงานที่มีความพิถีพิถัน และบังเอิญเป็นชาวนิวซีแลนด์ด้วย รวมถึงผู้ออกแบบฉาก แกรนท์ เมเจอร์ และหัวหน้าแผนกระดับเวิร์ลคลาสที่ช่วยรวบรวมทีมงานที่เป็นชาวนิวซีแลนด์ได้เกือบ 85%

 

เสื้อเทอร์ควอยซ์ที่โดดเด่นและอีกมากมาย

 

ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย อแมนด้า นีล ได้รับการนำเสนอผลงานที่ฟังเหมือนไม่ใช่งานสำคัญอะไร: การออกแบบตัวละครแค่ 5 ตัว แต่หลังจากนั้นพบว่าตัวเองต้องร่วมงานกับแดน เล็มมอนและทีมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ เพื่อสร้างเสื้อผ้าให้ตัวละครและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกไมน์คราฟต์ 

 

สำหรับตัวละครจริงต่างๆ นีลได้แรงบันดาลใจมาจากฉากของแกรนท์ เมเจอร์เพื่อผลิตบ้างชุด “ฉันหลงใหลพวกต้นไม้ ดอกไม้ โดยเฉพาะเห็ด”เธอกล่าว “ฉันเลยรวมเห็ดเข้าไปในการออกแบบเสื้อผ้าบางส่วนด้วย นั่นคือแรงบันดาลใจที่มาของหมวกเห็ดสำหรับมิวสิเคิลวูดแลนด์ แมนชั่นร่วมกับเจสันและแจ็ค”

 

นีลอธิบายถึงตัวละครหลักทั้ง 5 ว่า “เหมือนกับสไปซ์เกิร์ล” ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อแน่ใจว่าแต่ละคนมีความแปลกแยกกัน “แต่ละตัวละครมีเอกลักษณ์และมีบุคลิกแตกต่างกัน” เธอกล่าว “เห็นได้ชัดเจนแต่แรกที่เราต้องสร้างความแน่ใจในแต่ละตัวละคร พวกเขามีสีสันที่โดดเด่นชัดเจน การร่วมงานกับนักแสดงทั้งในโลกแห่งความจริงและโอเวอร์เวิร์ล นั่นคือสิ่งสำคัญสำหรับฉัน เราไม่สูญเสียตัวละครของเราในโกลของไมน์คราฟต์ที่มีสีสัน มีแสงไฟ มีของตกแต่ง สีสันและสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทุกอย่างต่างกับตัวละครในชีวิตจริง สิ่งสำคัญคือพวกเขาต้องโดดเด่นในโลกทั้ง 2 ใบ”

 

นีลเล่าว่าการร่วมงานกับผู้กำกับฯ ที่มีความสามารถาและตัวละครของจาเรด เฮสทำให้ขั้นตอนการทำงานยิ่งมีความสนุก “จาเรดมีผลงานภาพยนตร์หลายเรื่องที่ผมประทับใจ และเราหลงใหลในเสน่ห์ยุค 80 ด้วยกัน ในเรื่องนี้ข้ามผ่านไปหายุค 70 และ 80 ในเพียงพริบตา จากนั้นพบว่าเราอยู่กลางอเมริกา เมืองชูกลาสที่สมมุติขึ้นมา มันดูค่อนข้างล้ำสมัยและมีกลิ่นอายเรโทรยุค 80”

 

นีลมองว่าเป็นเกียรติที่ได้สร้างเครื่องแต่งกายให้ สตีฟ ตัวละครของแจ็ค แบล็ค เธอเล่าว่า “สตีฟมีความโดดเด่น ยิ่งผมได้มีส่วนร่วมในโลกของไมน์คราฟต์และทำความเข้าใจสิ่งสำคัญในตัวละคร ผมก็ยิ่งหลงใหลและทุ่มเทมากขึ้น จากนั้นแจ็ค แบล็คมาช่วยเพิ่มการผสมผสาน ไม่มีอะไรจะดีไปว่านี้แล้ว โทนสีของเขามีความกะทัดรัด เป็นโทนสีครามและเทอร์ควอยซ์ เรามีตัวอย่างเทอร์ควอยซ์หลายแบบมาก ส่วนมากจะเป็นสีเทอร์ควอยซ์บนใบหน้าหรือการทาสีเทอร์ควอยซ์บริเวณอื่น!”

 

นีลต้องแน่ใจว่าเมื่อมีการเลือกสีไดแล้ว ต้องรู้สึกลงตัวเข้ากับฉากที่เป็นสีชมพูจี๊ดและมีความฉูดฉาดอีกมาก “อย่างที่สองคือเรื่องรายละเอียดและรูปร่าง ต้องแน่ใจว่าทุกอย่างรู้สึกว่ามีรายละเอียด อ่อนนุ่ม และทนทาน” เธอกล่าวเสริม “ฉันคุยกับทอร์ไฟ โอลาฟสันจาก Mojang เขาอธิบายวาสตีฟเข้าไปในเกมเมื่อปี 1970 พอฉันเข้าใจตรงนั้นก็เห็นภาพชัดว่าควรสร้างภาพแสงเงาที่มีความน่าสนใจแบบไหน ทำให้มันดูแหวกแนวขึ้นสักหน่อย และค้นหารูปร่างเหมาะกับแจ็ค”

 

สำหรับความแตกต่างกับสตีฟและความงดงามแบบยุค 70 คือการ์เร็ตต์ เขาเป็นผู้ชายที่มีความมั่นคงแบบยุค 80 “เขายังคงยึดติดกับความสำเร็จช่วงยุค 1980 อยู่ ตอนนั้นเขาดูมีชีวิตชีวาและน่าสนใจ” นีลกล่าว “แต่ฉันก็รู้ดีว่าเขารู้สึกผ่อนคลายกับบรรยากาศความทันสมัยแบบนี้ แม้แต่บรรยากาศที่ย้อนกลับไปหายุค 80 ของเขาก็ตาม”

 

นีลจับโมโมอามาสวมแจ็คเก็ตเดนิมสีฟ้าที่ดูเท่ พร้อมกับเสื้อทีเชิ้ตสีชมพูประดับพู่ และมีอีกลุคหนึ่งที่เป็นแจ็คเก็ตหนังสีชมพูที่มีพู่เช่นกัน “เจสันมีลุคที่ชัดเจนมาก” เธอกล่าว “เขาอยากให้แจ็คเก็ตมีพู่ สีฟ้าผสมกับความเป็นธรรมชาติอันงดงามของยุค 80 ทำให้มันดูสดใสและชวนคิดถึงอดีต พู่ที่อยู่บนแจ็คเก็ตและเสื้อทีเชิ้ตสีชมพูสะบัดเวลาเคลื่อนไหวมันดูตลกดี และทีเชิ้ตเป็นตัวแทนตัวละครที่มีความเข้าใจผิด อ่อนไหวง่าย แต่มีความสนุกสนาน “

 

ตัวละครของนาตาลีรับบทโดยเอ็มม่า ไมเยอร์ส ทำให้นีลได้พบกับความท้าทายที่สนุก “นาตาลีเป็นคนดูเศร้าและซีเรียสมาก” นีลกล่าว “เธอต้องรับหน้าที่ดูแลทั้งตัวเองและน้องชาย เราจะจับตัวละครแนวนั้นแต่งตัวบนโลกของไมน์คราฟต์ที่มีแต่ความวุ่นวายในหนังอย่างไร เธอเลยสวมชุดสบายๆ เหมือนดอว์น การ์เร็ตต์ และสตีฟ แต่ยังซ่อนความฉลาดและดูเหมือนครูผู้หญิงเอาไว้?  เธอเป็นตัวละครเดียวที่มีรูปร่างมากกว่าสามเหลี่ยมของดอว์นและแกร์เร็ตต์ เสื้อทีเชิ้ตวงกลมที่เธอสวมใส่ ทำให้นึกถึงโลกทรงกลมที่พวกเขาเดินทางมา เทียบกับพวกสี่เหลี่ยมในโลกของโอเวอร์เวิร์ล และเป็นการสื่อถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่และการเริ่มต้นใหม่สำหรับเธอ”

 

เมื่อมาถึงการสร้างลุคให้ตัวละครแอนิเมชั่น นีลเล่าว่ามันเป็นเรื่องของการจินตนาการหรือตีความทุกอย่างในแบบพิกเซล ลุคส่วนใหญ่ออกแบบมาก่อนนีลจะมาร่วมงาน หน้าที่ของนีลคือ “เพิ่มบุคลิก ราละเอียดของตัวละคร เข้าไปนิดหน่อย”

 

เมื่อมาถึงเรื่องการเลือกผ้า นีลตัดสินใจเลือกจากความเป็นเกมไมน์คราฟต์ “ในเกมทุกอย่างเป็นขนแกะ มีการถักทอ และใช้วัสดุธรรมชาติ” เธอกล่าว “ฉันต้องแน่ใจว่าทุกอย่างที่ผ่านเข้ากล้องคือวัสดุที่ดูผลิตขึ้นด้วยมือ มีรายละเอียด เรียบง่าย เป็นงานฝีมือ ไม่เหมือนเสื้อผ้าที่เย็บปักขึ้นมาหรือใช้เครื่องจักร เป็นสิ่งที่ทำด้วยมือและผลิตขึ้นจากโลกของพวกเขา” 

 

The character she had the most input on was Malgosha. “She’d been pre-designed as this terrifying matriarch pig,” says Neale. “She’s the queen of her castle. My idea was to give her some Victorian elements, for example, the chatelaine where she carries all her potions and the weapons on her belt. The added texture and detail to her outer cloth. We used Shellac and a lot of other fabrics woven into this beautiful silk-linen blend fabric. It was so heavy we had to bring in an engineer to build a frame to carry the weight of the garment because our motion capture actor couldn’t wear it. That was a first for me!”

 

เมื่อมาถึงการออกแบบชุดแนวเหลี่ยมสำหรับชาวบ้าน นับเป็นความท้าทายครั้งใหญ่อย่างหนึ่งที่นีลสนุก เป็นการทดสอบความร่วมมือของศิลปินที่จะต้องสวมใส่มัน “ตอนที่สร้างชุดบอดี้สูทที่ชัดจนขึ้นมา ทุกคน (ที่ต้องสวมชุดนั้น) มีชุดโฟมที่พวกเขาต้องเรียนรู้การขยับเคลื่อนไหว การพูด และใช้มือ จากนั้นนำมาประยุกต์เข้ากับเสื้อผ้า มีการค้นหาข้อมูลและพัฒนาเยอะมาก เราใช้เวลา 11 สัปดาห์เพื่อหาคำตอบว่าจะทำอย่างไรให้มีการขยับได้ จะทำอย่างไรให้นักแสดงรู้สึกสบายเวลาเคลื่อนไหว เสื้อผ้าต้องดูดีแต่ก็ต้องเคลื่อนไหวได้ดเวย ความยิ่งใหญ่อีกอย่างที่เรียนรู้ในหนังแนวนี้ คือความสำคัญเรื่องการใช้งานไดเจริงและวัสดุ มันไม่ใช่แค่การสร้างความมั่นใจว่าเสื้อผ้าต้องดูดี แต่ต้องแน่ใจด้วยว่าขยับได้ ใช้งานได้จริง”

 

นีลกล่าวชมทีมงานที่เธอร่วมงานด้วยกัน ในการผลิตเสื้อผ้าที่ใช้งานได้ดีอย่างน่าทึ่ง “นี่คือกลุ่มช่างฝีมือที่มีความสามารถเหลือเชื่อ!” เธอกล่าว “การแก้ปัญหาเห็นได้ชัดจากเสื้อผ้าที่ทำให้ฉันทึ่ง ความคิด การค้นหาข้อมูล ความสนใจรายละเอียด ความทุ่มเทเพื่อทำให้เสื้อผ้าของเราใช้งานได้เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก”

 

ฉากผาดโผนและการต่อสู้

 

ผู้ควบคุมการแสดงผาดโผนและผู้กำกับฯ กองย่อย จอน วาเลร่า และทีมงานของเขาทำงานอย่างหนักเพื่อแปลงร่างนักแสดงสู่แอ็คชั่นฮีโร่ เฮสได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์แอ็คชั่นปี 1980 และ 1990 เขาโตขึ้นมากับการดูหนังแนวนั้นและ World Wrestling Entertainment วาเลร่ารู้สึกตื่นเต้นที่ได้แสดงหนังแอ็คชั่นคอมเมดี้เป็นครั้งแรก 

 

“เพราะจาเรดไม่เคยแสดงหนังใหญ่แบบนี้มาก่อน เราพยายามหลายมุมในแต่ละฉาก เพื่อให้เราเลือกได้ว่าเขาอยากแสดงเส้นทางไหน” วาเลร่ากล่าว “เช่น ในหมู่บ้านมิดพอร์ทตอนที่การ์เร็ตต์ต่อสู้กับพิกลินส์ เราอยากให้เขาแสดงออกมาดูกวนที่สุด แต่เขาแสดงได้แสบมากซึ่งมีความตลกอยู่ในตัว” 

 

วาเลรายังต้องระวังเรื่องฉากแอ็คชั่นที่เหมาะกับโลกของไมน์คราฟต์อีกด้วย นั่นคือจุดเริ่มต้นการคุยกับทอร์ไฟ โอลาฟสันที่ Mojang ช่วงแรกของการถ่ายทำ “มันดีมากที่มีทอร์ไฟคอยให้คำแนะนำ เพราะเขารู้ดีว่าตัวเองต้องการอะไร” วาเลรากล่าว “บางครั้งเราต้องการท่าวิ่งและกระโดดธรรมดา ทอร์ไฟและจาเรดจะนำเสนอบางอย่างที่มีความเป็นไมน์คราฟต์ เช่น สตีฟข้างบล็อกในฉากหนึ่ง จากนั้นพวกเขาจะสร้างแล้วสร้างอีก ผมคิดว่าสังคมในเกมจะมีความสุขกันแบบนั้น”

 

ทุกการเคลื่อนไหวเริ่มจากการออกแบบฉากผาดโผนล่วงหน้าก่อน ฟุตเทจการแสดงผาดโผนที่ทำหน้าที่เหมือนสตอรี่บอร์ดสำหรับฉากแอ็คชั่น “เราจะสร้างชุดผลงานหนึ่งขึ้นมาและสร้างกล่องสี่เหลี่ยมลูกบาศก์สีน้ำตาล มีทีมนักแสดงผาดโผนของเรามารับบทบาท” วาเลร่าอธิบาย “พวกเขาจะแสดงบทบาทต่างๆ รวมถึงการพูดประโยคต่างๆ มันทำให้ผู้กำกับฯ เห็นภาพชัดเจน พูดได้ว่าเราสร้างสิ่งนี้ออกมาได้ ผู้กำกับฯ จะเลือกผลงานที่ชอบ จากนั้นอนุมัติภาพการแสดงผาดโผนล่วงหน้า ทำให้ทีมงานทั้งหมดบริหารทุกอย่างในวันนั้นได้ง่าย โดยเฉพาะสำหรับตากล้องในเรื่องของการจัดแสงไฟ”

วาเลราร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับทีมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ นำทีมโดยผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ แดน เล็มมอน “สิ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับแดน เล็มมอนคือตั้งแต่ช่วงแรกเขาบอกว่ายิ่งเราถ่ายทำบนหน้าจอกล้องได้เท่าไหร่ โปรเจ็กต์ก็ยิ่งออกมาดีเท่านั้น มันเป็นเรื่องดีสำหรับเราเพราะทีมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ของเขาต้องการสิ่งอ้างอิงสำหรับร่างกาย ทำให้พวกเขาสามารถเลียนแบบการเคลื่อนไหวร่างกายได้ จากนั้นเวลาเดียวกันก็เพิ่มบางสิ่งที่เราไม่สามารถทำได้ด้วย”

 

และเนื่องจากบรรยากาศของไมน์คราฟต์ด้วย วาเลร่าอยากให้ดูมีส่วนร่วมใกล้ชดกับแผนกศิลป์และออกแบบของตกแต่งฉาก “เราทำข้าวของเสียหายหลายอย่างและฉันอยากปกป้องนักแสดงผาดโผนของฉันด้วย” วาเลร่ากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เรามีโฟมที่สร้างความขุ่นมัวสูงและแผนกศิลป์มีการลงสี ทำให้มันดูเหมือนบรรยากาศในฉาก ทำให้คุณแสดงได้ดีขึ้นพร้อมกับนักแสดงผาดโผน  และพวกของตกแต่งฉาก ดาบต่างๆ ก็ค่อนข้างยากนิดหน่อยแม้ว่าจะมีความอ่อนก็ตาม ด้วยความที่มันเป็นเหลี่ยม มันจะติดอาวุธต่างๆ เราต้องมีการปรับเปลี่ยนท่าทางบ้าง”

 

วาเลร่าก็พิจารณาว่านักแสดงจะเห็นตัวละครแสดงในฉากต่อสู้แบบไหน “เราออกแบบฉากต่อสู้ให้ตัวละครของนาตาลีและดอว์น แต่เอ็มม่า ไมเยอร์สและแดเนียล บรูคส์อยากให้มันเกี่ยวข้องกับพวกเขามากขึ้น นับเป็นเรื่องี่ดีเพราะจาเร็ดอยากให้สาวๆ ได้แสดงความแสบและหนุ่มๆ ก็โชว์พลังออกมา การออกแบบท่าเต้นเป็นไปตามบท: นักแสดงจะถ่ายทอดออกมาตามที่พวกเขาต้องการ และเราสอนท่าทางการเคลื่อนไหวของพวกเขา ทำให้ถ่ายทอดได้อย่างที่ควรจะเป็น ในเรื่องนี้ต้องไม่ดูเป็นศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานหรือใช้นักแสดงผาดโผนจนเกินไป มันต้องเป็นท่าที่ดูแสดงไม่ถนัด เราทำให้พวกเขาดูตลกและสนุก”

 

วาเลราเคยร่วมงานกับเจสัน โมโมอามานานหลายปีแล้ว  ล่าสุดในภาพยนตร์เรื่อง “Aquaman” เขารู้ดีว่านักแสดงถ่ายทอดท่าทางออกมาได้ดีขนาดไหน และเขายังประทับใจเอ็มม่า ไมเยอร์สด้วย “เธอมีความน่าทึ่งมาก” เขากล่าว  “เธอดูเป็นคนขี้อายและเงียบๆ แต่เราทำลายเกราะที่เธอสร้างเอาไว้ เธอถ่ายทอดท่าทางออกมาได้เป็นอย่างดีและผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก”

 

เช่นเดียวกับแจ็ค แบล็คที่วาเลราพูดได้เพียง “เขาน่าทึ่งมาก! เขาทำให้รู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้ๆ ตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ามาก็ปล่อยมุกตลกกับทีมนักแสดงผาดโผน ผมแปลกใจที่เขาเคลื่อนไหวร่างกายได้แบบนั้น มีเพียงไม่กี่คนที่เคลื่อนไหวได้แบบเขา และยังมีนักแสดงที่อายุน้อยกว่าเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แบบนั้น”

 

แจ็ค แบล็คสนุกกับฉากการบินที่มีเขา, เจสัน โมโมอา และเซบาสเตียน ฮานเซน ตัวละครของเขาต้องถีบตัวออกจากหน้าผา แต่ละคนจะสวมวิงสูท Elytra หรืออย่างน้อย 3 คนนั้นต้องสวมชุด.. แต่สตีฟกลับลืมสวมมัน! แบล็คเล่าถึงฉากนั้น: “ผมต้องร่วงลงมาโดยไม่มีวิงสูท Elytra ไม่มีร่มชูชีพ ผมพุ่งไปที่การ์เร็ตหวังว่าจะร่อนลงบนหลังของเขาได้และผมก็ทำได้จริง ผมเลยขี่เขาเหมือนม้าแต่หลังจากนั้นไม่นาน เราก็อยู่ในตำแหน่งที่ประหลาด เราต้องยึดเกาะเอาไว้แน่น เราบินกันไปเร็วมาก บินคู่กันไปเหมือนหยินหยางและมันก็ออกมาดีมาก เรารอดชีวิตมาได้! เราอยู่เพื่อบินต่อไปอีกวัน!”

 

สำหรับโมโมอาผู้เป็นนักแสดงที่ผ่านผลงานแอ็คชั่นและการแสดงผาดโผน สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีความแตกต่างคือมุกตลกที่สอดแทรกในหนังแอ็คชั่น “ผมต้องถูกเตะตลอดเวลาซึ่งเป็นอะไรที่สนุกดี” เขาหัวเราะ “ผมพาทีมนักแสดงผาดโผนไปทุกที่ที่ผมไปและเราเขียนฉากไร้สาระร่วมด้วยกัน ผุดไอเดียต่างๆ ร่วมกับเคล บอยเตอร์ [นักเขียน] คริส กาเล็ตตา และ จาเรด เฮส ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีมาก มีฉากต่อสู้ไร้สาระอีกหลายฉาก ผมต้องสู้กับตัวละครประหลาดๆ เวลามีคนถามว่า ‘วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?’ ผมตอบ ‘เพื่อน ฉันรู้สึกเจ็บ โดนเบบี๋ซอมบี้ที่ขี่ไก่มาเตะก้น แล้วนายเป็นไงบ้าง?’”

 

แดเนียล บรูคส์ชมเชยทีมนักแสดงผาดโผน: “ทุกคนมหัศจรรย์มาก พวกเขาต้องแน่ใจว่าพวกเราปลอดภัยระหว่างที่แสดงผาดโผน เพราะหลายฉากต้องสวมสายลัดและบินข้ามผนังและประตู”

 

สำหรับเอ็มม่า ไมเยอร์ส ฉากแอ็คชั่นนับเป็นประสบการณ์ใหม่ที่สนุกสนาน “ฉันไม่เคยต่อสู้ด้วยดาบมาก่อน เลยต้องมีการเรียนรู้ทุกอย่าง” เธอกล่าว “ฉากต่อสู้มีท่าทางที่สนุก เพราะฉันรักที่ตัวเองและแดเนียลได้แสดงด้วยกัน มันสนุกมากที่ได้ร่วมงานกับเธอ เป็นฉาก 2 สาวสู้กันอย่างดุเดือด เรารักตรงนั้นแม้ว่าการแสดงผาดโผนจะเป็นงานที่ยากมากก็ตาม”

 

สิ่งที่วาเลร่าและทีมงานของเขาตรงตามที่จาเรด เฮสต้องการ “ช่วงกลางเรื่องเรามีการต่อสู้ครั้งใหญ่ ตัวละครทั้งหมดต้องเร่งเครื่องด้วยทรัพยากรที่มีอยู่” ผู้กำกับฯ กล่าว “พวกเขาไปที่หมู่บ้านมิดพอร์ท ตอนอยู่ที่นั่นถูกโจมตีด้วยของที่พิกลินจอมเกรี้ยวกราดกักตุนเอาไว้ พวกมันทำลายสถานที่ต่างๆ ระหว่างที่มองหา Orb of Dominance เป็นฉากที่รวมมอนสเตอร์ไว้ด้วยกัน เรามีจอน วาเลรา ผู้ควบคุมการแสดงผาดโผนของเราที่น่าทึ่ง เขาจัดเวิร์คชอปทุกการต่อสู้มาเป็นเวลานานก่อนที่จะถึงเวลาแสดง”

 

วิชวลเอ็ฟเฟ็ต์

 

ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ แดน เล็มมอน ต้องดูแลรายละเอียดดิจิตอลทั้งหมดในเรื่องให้สมบูรณ์แบบ ธรรมชาติของเกมไมน์คราฟต์มีการสร้างความน่าสนใจให้ทีมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์อยู่แล้ว

 

“เกมมีควถูกต้องแม่นยำในระดับที่ต่ำ เพราะมันเป็นโลกที่เปิดกว้าง” เล็มมอนกล่าว “ตัวละครมีความเป็นนามธรรมหลายส่วน และโลกใบนั้นทำให้สมองของเราได้ใช้งาน แต่ในหนังเราหวังว่าลายอย่างจะดูงดงามและสมบูรณ์แบบมากขึ้น นี่คือหนังไลฟ์แอ็คชั่นที่มีตัวละครไลฟ์แอ็คชัน เรามีนักแสดงที่ยืนคู่ตัวละครไมน์คราฟต์ดิจิตอล พวกเขาต้องดูลงตัวในโลกใบเดียวกัน ความท้าทายของทีมงานผมคือต้องจินตนาการว่าจะทำให้ตรงตามวีดีโอเกมต้นฉบับอย่างไร สิ่งที่แฟนๆ รัก แต่ก็ต้องสร้างให้ดูสมจริงและเหมือนที่เราคาดหวังไว้ในโลกแห่งความจริงด้วย

“เราคุยกับ Mojang หลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้” เล็มมอนเล่าต่อ “ตัวอย่างเช่น ครีปเปอร์ควรมีหน้าตาแบบไหน เป็นตัวร้ายที่มีชื่อเสียงในเกมมากที่สุดใช่ไหม? ควรมีพิกเซลบนใบหน้าขนาดไหน มันควรมีหลุมหรือรอยอะไรไหม? มีมอส? มีพุ่มไม้? ควรมีแสงสว่างแบบไหนเวลาที่พวกเขาพร้อมจะระเบิด? จะมีการทำเสียงไม่พอใจแบบไหน มีการถูกเผาอย่างไร? เรื่องสำคัญกับ Mojang คือการถ่ายทอดความเรียบง่ายของเกม เพิ่มรายละเอียด ความสมจริงลงไปในเกมเพื่อสร้างความสมจริงในหนัง”

 

สำหรับเล็มมอน สิ่งสำคัญคือการสร้างวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ให้สมจริงมากที่สุด “ทุกครั้งที่ถ่ายทำบนโลกแห่งความจริงได้ ทุกครั้งที่เราใช้ของประกอบฉากหรือตัวละครจริง บรรยากาศจริง เราจะพยายามเข้าไปในโลกใบนั้นให้ได้มากที่สุด สิ่งที่เราสร้างบนคอมพิวเตอร์มักจะอิงจากความเป็นจริงเสมอ” เขากล่าว 

 

สิ่งหนึ่งที่เฮสนึกได้อย่างรวดเร็วคือความแตกต่างระหว่างภาพยนตร์ไอดาโฮ โอเวอร์เวิร์ลต้องดูมีเสน่ห์ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น ฟ้าฝนและสภาพบรรยากาศที่สร้างความแตกต่าง “จาเรดถาม ‘ถ้าเวลาฝนตกจะเป็นอย่างไรเวลาที่เราอยู่ข้างนอก?’ ในอดีตเราคุ้นเคยกับอะไรแบบนั้น หากฝนตกก็จะมีฝนตกในหนังจริงๆ แต่ในเรื่องนี้ มันต้องดูน่าทึ่ง มันต้องดูเหมือนในเรื่อง ‘The Wizard of Oz’ ในออซจะเห็นแต่ท้องฟ้าสีฟ้า เราได้เห็นโลกที่เราไม่คุ้นเคยเลย”

 

ด้วยเหตุนี้ทีมงาเลยคิดได้วาคงจะง่ายกว่าหากถ่ายทำในโรงถ่ายที่ไม่มีตัวแปรสภาพอากาศ 

 

เล็มมอนและทีมงานของเขาย้อนกลับไปหาเกมต้นฉบับเพื่อหาแรงบันดาลใจ ตัวละครต่างๆ มีการออกแบบที่มีความพิเศษมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ขนาดของดวงตาที่ต้องมีสีขาวหรือไม่ และต้องมีขนาดโตหรือไม่ “เรามักจะย้อนกลับไปหาตัวเลือกที่แฟนเกมจะคุ้นเคยกับมัน” เล็มมอนกล่าว

 

เขายังต้องเลือกด้วยว่าจะให้มีพิกเซลและความเป็นเหลี่ยมในเกมมากน้อยขนาดไหน ขณะเดียวกันต้องมีการเชื่อมโยงโลก 2 ใบนั้นด้วยภาพด้วย เขาอธิบายว่า “เราติดอยู่กับลูกบาศก์และสิ่งที่เราเรียกว่า ‘เส้นกริดนำทาง’ เพื่อสร้างเหลี่ยมแฟชั่น แต่ต้องลงเอยด้วยความสมจริง ฉะนั้นอย่างพวกหญ้าหรือต้นไม้ต้องมีรายละเอียดและสีสันที่คุ้นเคยกับโลกแห่งความจริง แต่ต้องอิงตามความทันสมัยด้วย ตัวละครที่เราได้รู้จักผ่านเส้นกรอบเหล่านั้น ต้องมีมุมที่เหมาะสมและมีเหลี่ยม เราทำให้พวกมันดูอ่อนโยนลง ผิวหนังต้องมีความเหมือนผิวหนังของเรา นั่นคือการทำให้โลกสองใบมาบรรจบเข้าด้วยกัน”

 

การร่วมมือกันระหว่างแผนกต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น ทีมงานมีแผนกวิชวลอาร์ท ซึ่งเป็นเหมือนศูนย์กลางเวลาที่ทุกผลงานจากแผนกศิลป์ โลกของวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ โลกของภาพจำลองและสตอรี่บอร์ดจะมารวมในโลกเดียวกัน “มันเหมือนศูนย์รวมที่ทุกอย่างจะมาบรรจบเข้าด้วยกัน” เล็มมอนอธิบาย “ช่วงแรกแกรนท์ เมเจอร์และทีมงานของเขาจะออกแบบฉากต่างๆ และเรานำเสนอให้กับแผนกวิชวลอาร์ทเพื่อจินตนาการภาพ เช่น ทีมของแกรนท์จะสร้างโลกที่จับต้องได้จริงเยอะแค่ไหน และมันจะถูกขยายหลังการถ่ายทำออกมาขนาดไหน มันช่วยให้เราเห็นภาพความลงตัว และทำให้เอ็นริเก้ เชดิแอค ตากล้องของเราเห็นภาพว่าเขาต้องการพื้นที่ขนาดไหนสำหรับการจัดแสงไฟฉากนี้”

 

เฮสยังเข้าถึงความสมจริงด้วยกล้องต่างๆ และเลนส์รวมถึงการถ่ายทำของเขา การใช้หน้าจอมาช่วยทำให้ผู้ชำนาญด้านสตอรี่บอร์ดของเขาสร้างภาพสมจริงได้มากที่สุด “พื้นที่นั้นตลอดการถ่ายทำจะเป็นจุดที่เราสร้างโลกใบนั้นขึ้นมาได้ ช่วยให้ทุกคนเข้าใจว่าสุดท้ายควรมีหน้าตาแบบไหน” เล็มมอนกล่าว

 

ทีมงานของเล็มมอนใช้เครื่องมือที่เรียกว่าซิมัลแคม “มันช่วยให้ประกอบฉากของเราขึ้นมาได้แบบเรียลไทม์ด้วยบลูสกรีน แต่เป็นการแทนบลูสกรีนด้วยฉากเสมือนจริง การใช้บลูสกรีนช่วยให้เราเห็นโลกใบนั้นได้เหมือนช่วงหลังการถ่ายทำ อย่างน้อยมันช่วยให้เราได้ไอเดียว่าภูเขาอยู่ตรงไหน หรือกระท่อมไก่ของสตีฟควรมีความสูงระดับไหน ซิมัลแคมยังช่วยกำหนดเฟรมและตัดสินใจเรื่องกล้อง แสงไฟ และสิ่งอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบอีกด้วย”

 

สำหรับชาวบ้าน กองถ่ายให้นักแสดงสวมเสื้อผ้าจริงที่ผลิตโดยผู้ออกแบบเสื้อผ้า อแมนด้า นีล ชาวบ้านเหล่านั้นจะมีการแปลงเป็นซีจีไอในภายหลังโดยเล็มมอน แทนที่จะผลิตศีรษะจากพลาสติกเทียมขึ้นมา ทีมงานเลือกสร้างด้วยดิจิตอล “การมีเสื้อผ้าจริงและคนเหล่านั้นวิ่งรอบฉากได้ มีการถูกกั้นและแสดงตอบโต้กันระหว่างนักแสดงมันช่วยได้เยอะเลย” เล็มมอนกล่าว

เด็นนิส เดอะ วูล์ฟ เพื่อนสนิทของสตีฟคือภาพดิจิตอลเช่นกัน ระหว่างการถ่ายทำกองถ่ายมีการใช้ตุ๊กตาและนักแสดงที่มีความชำนาญด้านการเคลื่อนไหวมาวิ่งรอบฉากและแสดงตอบโต้กับนักแสดงนำ จากนั้นปรินท์ออกมาในภายหลังและนำมาแนทด้วยเดนนิสในร่างภาพเคลื่อนไหว

 

ทำนองและโทน

 

สำหรับเสียงดนตรีในเรื่อง “A Minecraft Movie” จาเรด เฮสได้ความช่วยเหลือจากมาร์ค มาเธอร์สโบห์ และผู้ควบคุมเสียงดนตรีกาเบ้ ฮิลเฟอร์ และ คาริน แรชต์แมน แน่นอนว่าแจ็ค แบล็คแทบจะมีส่วนร่วมในเสียงเพลงของหนังเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการร้องบางเพลงหรือแต่งเพลง ไม่แปลกใจเลยที่เขาอดจะมีส่วนร่วมในเสียงดนตรีไม่ได้ 

 

สำหรับเฮส แบล็คได้ร่วมแต่ง (และแสดง) ทำนองให้ตัวละครของเขาอย่าง “Steve’s Lava Chicken” แบล็คร่วมมือกับเจสัน โมโมอาและจอห์น สไปค์เกอร์ ในเพลง “Birthday Rap” ที่ฟังตลกในฉากสำคัญของเรื่อง รวมถึง “Ode to Dennis” เพลงสำหรับหมาป่าเพื่อนซี้ของเขา

 

และสุดท้ายผู้สร้างภาพยนตร์ได้ร่วมงานกับมาร์ค รอนสันและแอนดรูว์ ไวแอตต์ ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากจากผลงานฮิต “I’m Just Ken” ในเรื่อง “Barbie” เพื่อแต่งผลงานต้นฉบับยอดนิยมในเรื่อง รอนสันและไวแอ็ตต์ได้ร่วมงานกับแบล็คในการแต่งบางเพลงด้วย

 

“ผมรู้สึกว่า ‘โอ้ พระเจ้า ผมได้คอลแลปกับ Fabulous Baker Boys เลยนะ’” แบล็คหัวเราะ “ผมส่งเนื้อร้องบางส่วนไป และพวกเขาก็แต่งให้สมบูรณ์ซึ่งมันติดหูมาก เป็นจังหวะที่ลงตัวดีจริง นั่นคือสิ่งที่เราต้องการในตอนท้ายของหนัง เป็นการฉลองความสนุกสนาน ผมกับโมโมอาและทีมนักแสดงทั้งหมดอย่างแดเนียล เซบาสเตียน และเอ็มม่า เราทั้งร้องเพลงและเต้นรำกัน เหมือนจุดนำไปสู่ตอนจบของเรื่องและเครดิตส่งท้าย”

 

ตัวละครสิ่งมีชีวิต

 

ทั้งโอเวอร์เวิร์ลและนีเธอร์ต่างก็มีสิ่งมีชีวิตและมอนสเตอร์อาศัยอยู่ ยิ่งเป็นการเพิ่มเอกลักษณ์ให้เกมไมน์คราฟต์ตั้งแต่ถูกแนะนำให้รู้จัก ในภาพยนตร์แทบจะมีครบทุกอย่างตั้งแต่ครีปเปอร์ไปจนถึงวินดิเคเตอร์และอีโวคเกอร์ (สองตัวหลังอยู่ในวูดแลนด์แมนชั่น ตัวแรกจะสังหารด้วยขวานอย่างโหดเหี้ยม ตัวหลังเป็นสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ที่เรียกความก่อกวนมารวมกันได้) อีกสิ่งมีชีวิตคือพวกพิกลินส์ กลุ่มนีเธอร์คอยรับใช้ราชินีพิกลิน มัลโกชา ซึ่งสุดท้ายพวกเขาคือไก่ 

 

ผู้ชมจำนวนากจะได้สัมผัสบนจอยักษ์ในเรื่อง “A Minecraft Movie”

 

หมาป่าสีขาวเทาสี่เหลี่ยมคือเพื่อนซี้ของสตีฟในโอเวอร์เวิร์ล เดนนิสจะกลายเป็นหนึ่งในฮีโร่เรื่อง “A Minecraft Movie”

 

หนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ฮีโร่ของเราเห็น คือแกะสีชมพูในโอเวอร์เวิร์ลที่ดูช็อคจากตา (และหู) แต่พวกมันรักสงบ ขนของพวกมันใช้สำหรับการผลิตผลงานแฟชั่น

 

ช่วงตะวันตกดินในโอเวอร์เวิร์ล ครีปเปอร์อันมีเอกลักษณ์จะโผล่ออกมา สัตว์สีเขียวขนฟูที่แอบย่องตามฮีโร่ของเราและระเบิด ทำลายทุกอย่างหรือทุกคนที่โชคร้ายอยู่ใกล้มัน

 

พวกสิ่งมีชีวิตที่เป็นศัตรูจะโผล่ออกมาเป็นกลุ่มยามค่ำคืนที่โอเวอร์เวิร์ล พวกโครงกระดูกจะโดนธนูและลูกศรทำร้าย เช่นเดียวกับไนท์ ม็อบส์ พวกมันแพ้แสงแดดอย่างรุนแรง (รุนแรงมาก — ฆ่าพวกมันได้เลย)

 

สิ่งที่คล้ายกันบนโลกคือพวกผึ้งที่อาศัยเกสรจากดอกไม้ ไม่ปล่อยเหล็กในนอกจากจะถูกทำร้าย มีเพียงสิ่งเดียวที่แตกต่าง พวกมันเป็นสี่เหลี่ยมอย่างชัดเจน

 

สิ่งที่น่ากลัวสำหรับไนท์ ม็อบส์ช่วงพระอาทิตย์ขึ้นและตก คือพวกซอมบี้หัวกะโหลกสีเขียวที่ทำลายทุกอย่าง (แม้ว่าพวกมันจะเป็นสิ่งมี่ชีวิตก็ตาม)

 

สิ่งมีชีวิตที่รักสงบ (เหมือนมนุษย์) แห่งโอเวอร์เวิร์ล พวกชาวบ้านที่สร้างบ้านในหมู่บ้านมิดพอร์ท ที่นั่นพวกเขามีฟาร์ม ขนมปังมากมาย และโรงงานทั่วไป

 

พวกที่อยู่ระดับล่างอย่างพิกลินส์ คือมินเนียนที่รับใช้มัลโกชาผู้เป็นราชินีพิกลินที่ทรงพลัง พวกมันรักทองและการทำลายล้าง แม้จะพูดได้ว่าพวกมันโง่กว่าปีศาจก็ตาม

 

ลามาส สัตว์ในฟาร์มคอยาวที่รักสงบ รักการว่ายน้ำและเคี้ยวหญ้าเสียงดัง แต่ขอเตือนว่าพวกมันสามารถพ่นน้ำลายได้ระยะไกลและแม่นยำด้วย

 

โกเล็มส์เหล็กที่สามารถสร้างขึ้นมาจากเหล็ก 4 ก้อนมีความอ่อนโยน มีขนาดยักษ์ที่ไม่อยากยุ่งกับใครนอกจากว่าเราจะไปยุ่งกับชาวบ้าน  (ฉะนั้น…. รู้แล้ว อย่าเชียว)

 

Loading

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่