ข้อมูลงานสร้างภาพยนตร์
บางประตูพาเราย้อนกลับไปสู่อดีต บางประตูนำเราไปสู่อนาคต และบางประตู…เปลี่ยนทุกสิ่งไปตลอดกาล ซาราห์ (มาร์โกต์ ร็อบบี้) และ เดวิด (โคลิน ฟาร์เรลล์) คือคนแปลกหน้าที่ต่างก็ยังโสด ทั้งคู่พบกันในงานแต่งงานของเพื่อน และด้วยโชคชะตาที่พลิกผันอย่างไม่คาดคิด ทำให้พวกเขาก้าวเข้าสู่ A BIG BOLD BEAUTIFUL JOURNEY — การผจญภัยสุดมหัศจรรย์ ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน ความแฟนตาซี และความยิ่งใหญ่ ที่ทั้งคู่ได้ย้อนกลับไปสัมผัสเหตุการณ์สำคัญในอดีตของกันและกัน เปิดเผยเส้นทางที่นำพาพวกเขามาถึงปัจจุบัน…และอาจจะได้โอกาสในการเปลี่ยนอนาคตของตนเอง
ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดย มาร์โกต์ ร็อบบี้ และ โคลิน ฟาร์เรลล์ พร้อมด้วย เควิน ไคลน์ และ ฟีบี วอลเลอร์-บริดจ์ กำกับโดย โคโกนาดะ เขียนบทโดย เซธ รีสส์ อำนวยการสร้างโดย แบรดลีย์ โธมัส, ไรอัน ฟรีดกิ้น, ยูรี เฮนลีย์, และ เซธ รีสส์ โดยมี โคโกนาดะ, ไอลีน เฟลด์แมน, ไมคาห์ กรีน, แดเนียล สไตน์แมน, จอห์น แอทวูด, จิโน่ ฟัลเซตโต, โอริ ไอเซน, และ พอล เมซีย์
A BIG BOLD BEAUTIFUL JOURNEY เป็นภาพยนตร์โรแมนติกเหนือจินตนาการ ที่เปี่ยมด้วยช่วงเวลายิ่งใหญ่และเซอร์ไพรส์ต่างๆ เป็นครั้งแรกที่ ร็อบบี้ และ ฟาร์เรลล์ ได้ประชันบทบาทบนจอภาพยนตร์ ร่วมกันหลังจากประสบความสำเร็จสูงสุดในอาชีพการแสดงของทั้งคู่ ร็อบบี้ได้แสดงและอำนวยการสร้างใน Barbie ที่สร้างปรากฏการณ์บ็อกซ์ออฟฟิศระดับโลก ส่วนฟาร์เรลล์เพิ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่ จากการกลับมารับบทวายร้ายชื่อก้อง The Penguin ในซีรีส์ของ Max ที่ใช้ชื่อตัวละครเดียวกัน
ร็อบบี้และฟาร์เรลล์แสดงให้เห็นถึงเคมีอันยอดเยี่ยมในบทบาทซาราห์และเดวิด สองคนแปลกหน้าที่มาพบกันในงานแต่ง และถูกพัดพาเข้าสู่การเดินทางมหัศจรรย์ ผ่านบานประตูซึ่งทำหน้าที่เป็น “ประตูเวลา” พาย้อนกลับไปยังเหตุการณ์สำคัญในชีวิต พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจอดีตของกันและกัน และค้นพบความหมายใหม่ของปัจจุบัน พร้อมทั้งเปิดใจต่อความเป็นไปได้ของความรักในอนาคต
ประตู ในทุกรูปแบบ ถือเป็นหัวใจหลักของ A BIG BOLD BEAUTIFUL JOURNEY ผู้กำกับ โคโกนาดะ กล่าวไว้ว่า: “ผมชอบการใช้ประตูในฉากละคร มันกระตุ้นจินตนาการเสมอ ประตูบานหนึ่งสามารถพาเราไปที่ไหนก็ได้ — ทั้งสิ่งธรรมดาและสิ่งมหัศจรรย์ ประตูคือสัญลักษณ์ของความเป็นไปได้ มันเต็มไปด้วยความลึกลับ และการเปิดประตู ไม่ว่าจะในความหมายตรงตัวหรือเชิงเปรียบเปรย ก็คือการก้าวเข้าสู่พื้นที่ใหม่ ประสบการณ์ใหม่ และช่วงเวลาใหม่ในชีวิต”
ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่นด้วยการผสมผสาน “สัจนิยมมหัศจรรย์ (Magical Realism) ที่นำองค์ประกอบแฟนตาซี อย่าง “ประตูเปลี่ยนชีวิต” มาผูกเข้ากับโลกจริงที่จับต้องได้ สร้างประสบการณ์ที่ทั้งยิ่งใหญ่และอบอุ่นใจ ถูกออกแบบมาเพื่อการรับชมบนจอภาพยนตร์โดยแท้
โคโกนาดะกล่าวเสริมว่า: “นี่คือหนังประเภทที่ผมอยากดูในโรงที่เต็มไปด้วยผู้ชม มันสดใหม่ ไม่เหมือนใคร และได้นักแสดงอย่างมาร์โกต์กับโคลินที่อยู่ในช่วงพีคของอาชีพ ทั้งคู่ทำให้จอภาพยนตร์เปล่งประกายอย่างแท้จริง”
“เหมือนกับคนรักหนังอีกหลายคน ผมโหยหาการได้สัมผัสโลกใหม่ๆ ตัวละครใหม่ๆ และวิธีการเล่าเรื่องใหม่ๆ ที่ทำให้เรามองเห็นประสบการณ์ชีวิตในอีกมุม แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็อยากให้มันเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของเราด้วย”
การเดินทางอันยิ่งใหญ่ กล้าหาญ และงดงามของตัวละครในเรื่องนี้ เผยให้เราเห็นว่า “ทุกประตูคือความทรงจำ” และไม่ว่าคุณจะอยู่ ณ จุดใดของชีวิต คุณก็ยังมีโอกาสที่จะ “เปิดใจ” และเปลี่ยนอนาคตของตนเองได้เสมอ
ซาราห์และเดวิด / มาร์โกต์และโคลิน
หลังจากการสร้างและความสำเร็จถล่มทลายของ Barbie ทั้งในด้านเสียงวิจารณ์และรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศ มาร์โกต์ ร็อบบี้ ตั้งใจจะพักผ่อนเพื่อชาร์จพลัง “ฉันคิดว่าจะไม่รับงานใดๆ สักพัก แต่แล้วก็ได้ยินว่ามีบทหนังที่ยอดเยี่ยม และโคลิน ฟาร์เรลล์ถูกวางตัวแสดงนำ” เธอเล่าย้อนความ “พอฉันอ่านบท มันชัดเจนมาก มันสดใหม่และเข้าถึงหลายระดับเกินกว่าจะปฏิเสธได้”
โปรดิวเซอร์ แบรดลีย์ โธมัส กล่าวเสริมว่า “มาร์โกต์คือคนที่เราอยากได้มารับบทซาราห์ตั้งแต่แรก แต่ตอนนั้นคิดว่าแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะ Barbie เพิ่งออกฉาย แต่เราก็ลองส่งบทให้เธอดู แล้วการตอบรับของมาร์โกต์ก็คือ ‘ใช่’ ที่เร็วที่สุดที่ผมเคยเจอในทุกโปรเจกต์”
ร็อบบี้อธิบายเพิ่มเติมว่า “มันเป็นเรื่องราวโรแมนติกที่ลึกซึ้ง และฉันเฝ้าหาโปรเจกต์ความรักแบบนี้มานาน นอกจากนี้ฉันยังชอบงานภาพที่ตระการตา ซึ่งเรื่องนี้ก็มีองค์ประกอบของ “สัจนิยมมหัศจรรย์” (magical realism) ที่สวยงาม แฟนตาซี เหนือจริง และบางครั้งก็ดูแปลกตา”
โปรดิวเซอร์ ยูรี เฮนลีย์ ประทับใจกับการที่ร็อบบี้ถ่ายทอดตัวละครซาราห์ได้ทั้ง “ความน่าหวั่นเกรง แต่ขณะเดียวกันก็ดูแข็งแกร่ง ฉลาด และมีเสน่ห์ดึงดูดตลอดเวลา” เขายกตัวอย่างฉากงานแต่งงานฉากหนึ่งที่ซาราห์พบเดวิด “ฝนกำลังตก กล้องเคลื่อนผ่านบรรยากาศงานแต่งก่อนจะหยุดที่ซาราห์ เธอเพียงแค่มองไปที่เดวิด เลิกคิ้วนิด ๆ แล้วยิ้มเล็กน้อย แต่มันช่างสะกดใจ เพราะมีหลายสิ่งซ่อนอยู่ใต้แววตานั้น”
ในอีกด้านหนึ่ง ฟาร์เรลล์ก็เพิ่งจบการถ่ายทำ The Penguin ซึ่งต้องใส่ชิ้นแต่งหน้าและอุปกรณ์พิเศษหลายชั่วโมงต่อวัน เพื่อเปลี่ยนโฉมเป็นเจ้าพ่ออาชญากรผู้บิดเบี้ยว แต่ A BIG BOLD BEAUTIFUL JOURNEY กลับดึงดูดเขาอย่างไม่อาจต้านทานได้ “เพนกวินเป็นตัวละครที่มืดหม่นมาก แต่เรื่องนี้ตรงกันข้าม มันคือการเดินทางสู่แสงสว่าง” ฟาร์เรลล์เล่า
เมื่อซาราห์และเดวิดก้าวผ่านประตูวิเศษทีละบาน “พวกเขาเหมือนได้รับการเยียวยา เติมเต็ม และเติบโตขึ้น” ฟาร์เรลล์อธิบาย “ทั้งคู่ต่างได้เห็นอีกฝ่ายเผชิญกับช่วงเวลาสำคัญที่สุดของชีวิต ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ทรงพลังและน่าตื่นเต้นมาก”
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฟาร์เรลล์สนใจ คือการได้กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับ โคโกนาดะ หลังจากเคยทำงานด้วยกันใน After Yang “นี่คือหนึ่งในบทที่สวยงามที่สุดที่ผมเคยอ่าน” ฟาร์เรลล์เสริม “มันอบอุ่นหัวใจและเล่าเรื่องที่ทั้งเฉพาะตัวและเข้าถึงง่าย ทุกคนต่างเคยต่อสู้เพื่อหาความสุขและความรัก”
สำหรับโคโกนาดะ การได้ร่วมงานกับฟาร์เรลล์อีกครั้งคือหนึ่งในไฮไลต์ของโปรเจกต์ “โคลินมีชีวิตภายในที่เข้มข้น และมันสะท้อนออกมาผ่านสายตาของเขา เขามีความเป็นโรแมนติกโดยธรรมชาติ และผมก็ชอบที่เขาได้ใช้สำเนียงไอริชของตัวเอง” (ซึ่งในเรื่องซาราห์ยังหยอกล้อสำเนียงนี้อยู่หลายครั้ง) “เขาคือกวีโดยแท้จริง”
ทั้งเดวิดและซาราห์ต่างเป็นทั้ง “ด้านที่เหมือนและตรงข้ามกัน” ร็อบบี้กล่าวว่า “ฉันคิดว่าผู้ชมสามารถเห็นตัวเองได้ทั้งในซาราห์และเดวิด ซาราห์หวาดกลัวที่จะเจ็บปวดและไม่อยากเปิดใจ โดยเฉพาะในเรื่องความรัก เธอสร้างเกราะกำแพงป้องกันตัวเองจนกลายเป็นคนที่ไปทำร้ายผู้อื่นแทน และเธอไม่ชอบในสิ่งที่ตัวเองกลายเป็น”
เธอกล่าวต่อว่า “เราทุกคนต่างเคยหวนคิดกับวิธีที่เราจัดการบางเรื่องในอดีต และอยากย้อนกลับไปทำมันให้ดีกว่า ซาราห์และเดวิดได้รับโอกาสพิเศษจากประตูวิเศษ ที่จะได้เผชิญหน้ากับอดีต แก้ไขบางสิ่ง และท้ายที่สุดได้พบรัก”
สำหรับเดวิด เขาเองก็เหมือน “คนหลงทาง” ตอนที่ผู้ชมได้รู้จักเขาครั้งแรก “และเขาก็ยอมรับกับการเป็นคนหลงทางด้วย” ฟาร์เรลล์กล่าว “เขายังไม่เคยพบความสุขหรือความพอใจที่แท้จริง แต่การเดินทางร่วมกับซาราห์ทำให้เขาได้สะท้อนตนเองและตื่นรู้ถึงความรักอีกครั้ง”
แรงดึงดูดระหว่างตัวละครนั้นชัดเจนตั้งแต่ต้น “พวกเขาอดที่จะดึงดูดเข้าหากันไม่ได้” ฟาร์เรลล์กล่าว ขณะที่ร็อบบี้เสริมว่า “ซาราห์คิดว่าเขาอาจจะเป็นรักแท้ หรือไม่ก็เป็นคนที่จะทำลายชีวิตเธอไปเลย และบางที…อาจจะเป็นทั้งสองอย่าง”
ผู้กำกับโคโกนาดะยืนยันว่าเคมีระหว่างร็อบบี้และฟาร์เรลล์ “ชัดเจนตั้งแต่ช่วงซ้อมการแสดง ทั้งคู่มีความเข้าใจกันโดยธรรมชาติ และสามารถด้นสดได้ตลอดเวลา ทำให้การแสดงเต็มไปด้วยพลังและชีวิตชีวา พวกเขามองโลกในลักษณะคล้ายกัน และมีอารมณ์ขันตรงกัน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ลึกซึ้งและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ”
โปรดิวเซอร์เฮนลีย์ก็กล่าวเสริมว่า “ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน เคมีของทั้งคู่ชัดเจนตั้งแต่ฉากแรกที่ถ่ายร่วมกัน”
ไม่เพียงแค่การแสดง แต่ความผูกพันของร็อบบี้และฟาร์เรลล์กับตัวละครและโปรเจกต์ก็มองเห็นได้ชัดจากทุกคนในกองถ่าย “โคลินกับฉันยังเข้ามาในกองถ่ายตอนวันหยุด เพราะเรารู้สึกว่ากำลังทำสิ่งที่พิเศษจริง ๆ และไม่อยากพลาดแม้แต่วินาทีเดียว” ร็อบบี้เล่า “ถึงแม้จะมีวันหยุดน้อย แต่ฉันก็ยังอยากอยู่ที่กองถ่าย”
“โคลินมีวันหยุดวันหนึ่ง เขาก็มาที่กองถ่าย ฉันเองก็มาที่กองเพื่อช่วยอ่านบทของฟีบี วอลเลอร์-บริดจ์ ตอนที่เธอยังมาไม่ถึงลอสแอนเจลิส มีบางสิ่งในโปรเจกต์นี้ที่พิเศษจริง ๆ มันเหมือนมีเวทมนตร์บางอย่าง และทุกคน รวมถึงโคลินกับฉัน อยากอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา”
THE BIG BOLD BEAUTIFUL JOURNEY
ในการเขียนบทดั้งเดิมนี้ เซธ รีสส์ (ผู้เขียน The Menu ที่ได้รับคำชมอย้างมาก) ได้ผสมผสานความโรแมนติก อารมณ์ขัน ดราม่า และการผจญภัยเหนือจินตนาการเข้าไว้ด้วยกัน
“ผมชอบที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่สามารถจัดเข้ากรอบหมวดหมู่ได้ แต่กลับให้ความรู้สึกเข้าถึงง่าย” รีสส์อธิบาย “มันคือเรื่องราวของคนสองคน ข้อบกพร่องของพวกเขา และความรักที่ค่อยๆ พัฒนา ซึ่งทุกคนต่างเข้าถึงได้ จากนั้นทั้งหมดถูกกรองผ่านคอนเซ็ปต์แฟนตาซีการผจญภัย ประมาณว่า เดวิดกับซาราห์และความรักของพวกเขาคือ ‘ตัวเค้ก’ ของหนัง ส่วนองค์ประกอบสัจนิยมมหัศจรรย์ก็คือ ‘ไอซิ่ง’”
เรื่องราวเปิดฉากเมื่อ เดวิด ก้าวเข้าสู่บริษัทเช่ารถที่ไม่เหมือนที่ไหนมาก่อน: เป็นคลังสินค้ามหึมา มีแคชเชียร์สุดประหลาด (รับบทโดย ฟีบี วอลเลอร์-บริดจ์) และช่างเครื่อง (เควิน ไคลน์) คอยดูแลอยู่
วอลเลอร์-บริดจ์สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการเลือกใช้สำเนียงแปลก ๆ แบบเฉพาะตัว ซึ่งเธอตัดสินใจแบบฉับพลันหลังจากได้พบช่างแต่งหน้าชาวเยอรมัน “ตอนที่ฟีบีใช้สำเนียงนั้นในซีนที่คุยกับเดวิด ผมช็อกจริง ๆ ตอนเทกแรก” ฟาร์เรลล์เล่าย้อน
รีสส์กล่าวว่า “มันสนุกมากที่ได้ดูมอนิเตอร์ตอนถ่ายทำ แล้วเห็นฟีบีกับเควินนั่งอยู่หลังโต๊ะ ทำฉากนั้นด้วยความสนุกสนาน ขณะที่โคลินก็หัวเราะไปกับพวกเขา พวกเขาสร้างพลวัตใหม่ที่ทั้งสดใหม่และน่าประหลาดใจ”
โปรดิวเซอร์ โธมัส ก็เห็นด้วย “ทั้งฟีบีและเควินมีบทบาทสำคัญ พวกเขาคือคนแรกที่เดวิดได้พบ และเป็นคนผลักเขาเข้าสู่การผจญภัย เมื่อทั้งคู่ปรากฏตัวขึ้น คุณก็รู้เลยว่าคุณกำลังจะได้เจออะไรที่ฉลาด สนุก และน่าตื่นเต้น”
โคโกนาดะเสริมว่า “ฟีบีกับเควินมีประสบการณ์จากเวทีละคร และฉากนี้ต้องการ ‘ความเป็นละคร’ และความขี้เล่น ซึ่งสำหรับผม มันคือหัวใจของเรื่องนี้เลย”
รีสส์อธิบายว่า ความกว้างใหญ่ของสถานที่เช่ารถนี้จะทำให้ผู้ชมรู้ทันทีว่ากำลังเข้าสู่ประสบการณ์ที่แตกต่าง “ผู้ชมจะรู้สึกว่าเราอยู่ในโลกที่ถูกยกระดับขึ้น และอยู่เคียงข้างเดวิดเมื่อเขาสัมผัสมัน”
ฟาร์เรลล์ก็เห็นด้วย โดยบอกว่า “ฉากเช่ารถนี้คือสิ่งที่ผลักผู้ชมให้เข้าสู่โลกของหนังจริง ๆ”
แคชเชียร์และช่างเครื่องเสนอรถ Saturn SL ปี 1994 ให้กับเดวิด รถที่ปัจจุบันเลิกผลิตไปแล้ว แต่ครั้งหนึ่งเคยเป็นความพยายามของ GM ที่จะทวงคืนตลาดรถเล็กจากการนำเข้าญี่ปุ่น “มันเป็นตัวเลือกที่สนุก” รีสส์เล่าว่า “แม้ว่าหนังจะเต็มไปด้วยภาพเหนือจินตนาการและเรื่องราวความรัก แต่ Saturn คันนี้กลับมีความ ‘โลว์-ไฟ’ ที่เข้ากับบรรยากาศแปลกๆ ของออฟฟิศเช่ารถได้อย่างพอดี”
แต่ความมหัศจรรย์จริงๆ เริ่มขึ้นเมื่อแคชเชียร์และช่างเครื่องยืนยันให้เดวิดรับ เครื่อง GPS แบบเรโทร ติดมือไปด้วย ซึ่งมันคืออุปกรณ์ที่จะ “เอ่ยปาก” ถามว่า: “คุณอยากจะออกเดินทางบนเส้นทางที่ยิ่งใหญ่ กล้าหาญ และงดงามหรือไม่?”
ร็อบบี้ อธิบายว่า “GPS จะพูดกับพวกเขา และเหมือนบังคับให้ออกเดินทางไปด้วยกัน เดวิดกับซาราห์ไม่ได้นั่งสงสัยว่า ทำไม GPS ของฉันถึงพูดได้ พวกเขาไม่ได้ไปขุดคุ้ยหาคำอธิบาย แต่เลือกที่จะยอมรับมัน และกระโจนเข้าสู่การผจญภัย นั่นแหละคือเสน่ห์ของสัจนิยมมหัศจรรย์ — คุณไม่สามารถตั้งคำถามกับทุกอย่างได้ พวกเขาทั้งคู่กำลังรอคอยให้บางสิ่งเปลี่ยนชีวิต และนี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น”
โคโกนาดะเสริมว่า “เราออกแบบ GPS ให้คล้ายกับจอยเกม Nintendo และ HAL จาก 2001: A Space Odyssey อุปกรณ์นี้ไม่เพียงแค่ช่วยนำทางพวกเขาในเชิงภูมิศาสตร์ แต่ยังในเชิงการมีชีวิตและความรัก เพื่อให้พวกเขาก้าวไปข้างหน้า”
การเดินทางที่ GPS นำพาเริ่มจากร้านฟาสต์ฟู้ด ก่อนจะพุ่งเข้าสู่การย้อนอดีต—ไปยัง ประภาคารศตวรรษที่ 19 ที่เดวิดเคยไปเยือน, พิพิธภัณฑ์ ที่ซาราห์ได้รื้อฟื้นวันพิเศษกับแม่, โรงพยาบาล ที่ทั้งคู่กลับไปสู่เหตุการณ์ชีวิตที่เกี่ยวข้องกับพ่อแม่, และ ร้านกาแฟ ที่ทำให้ประสบการณ์รักเก่า ๆ ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง
เดวิดยังได้ย้อนกลับไปเป็นตัวเองวัย 15 ปีที่กำลังอินเลิฟ — แม้คนอื่นจะเห็นว่าเขาเป็นวัยรุ่น แต่ซาราห์กลับมองเห็นเขาในปัจจุบัน — เขาตัดสินใจสารภาพรักกับเพื่อนร่วมชั้น แม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าผลลัพธ์จะเหมือนเดิมคือ “ถูกปฏิเสธ” เพราะเธอสนใจคนอื่น
เบื้องหลังนั้น เดวิดกำลังจะก้าวขึ้นเวทีในฐานะนักแสดงนำของละครเวทีโรงเรียน How to Succeed in Business Without Really Trying ขณะที่พ่อแม่ของเขานั่งชมด้วยความภูมิใจ ซาราห์ก็นั่งอยู่ในผู้ชม มองเขาแสดงด้วยความรักที่เริ่มเบ่งบาน แต่ถึงจะรู้ว่ามันผิดพลาดในอดีต เดวิดก็ยังทำซ้ำอีกครั้ง
ฟาร์เรลล์อธิบายว่า “เพราะมันยังค้างคาใจ และตราบใดที่มันยังไม่ถูกแก้ไข เราก็จะทำซ้ำจนกว่าจะได้บทเรียนที่แท้จริง มันไม่ใช่เรื่องที่เลือกได้ด้วยซ้ำ เดวิดต้องทำ เพราะเขาจำเป็นต้องเผชิญกับมันอีกครั้งในฐานะผู้ใหญ่”
โปรดิวเซอร์ เฮนลีย์ เล่าว่า “ผมไม่เคยเห็นโคลินทำอะไรแบบนั้นมาก่อน ในฉากนั้นเขาเปลี่ยนจากโคลินที่เรารู้จัก ไปเป็นวัยรุ่นที่ร้องเพลงและเชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้”
รีสส์เองก็เผยว่า ฉากนี้มีความหมายส่วนตัวเช่นกัน “ผมชอบละครเพลง และจริง ๆ แล้วตอนมัธยม ผมเคยถูกวางตัวให้แสดงเรื่องนี้ แต่สุดท้ายอาจารย์ประสานเสียงกลับไม่เลือกมัน มันฝากรอยแผลไว้ในใจผมจนถึงทุกวันนี้ แม้แต่หนังเรื่องนี้ก็ไม่สามารถลบมันได้” เขาหัวเราะ
แต่ฉากนี้ไม่ใช่เพียงการเล่นละครเพลงหรือการสารภาพรักที่ผิดพลาดแบบวัยรุ่น มันคืออีกหนึ่ง “ประตู” ในการเดินทางมหัศจรรย์ของเดวิดและซาราห์ ที่ทั้งคู่ได้สำรวจอดีต ความเปราะบาง เคมีที่มีต่อกัน และที่สำคัญที่สุดคือ ความรักที่กำลังค่อย ๆ เบ่งบาน
K
ด้วย A BIG BOLD BEAUTIFUL JOURNEY ผู้กำกับมากวิสัยทัศน์ โคโกนาดะ — หรือ K อย่างที่นักแสดงและทีมงานเรียกเขาอย่างสนิทใจ — ได้พาผู้ชมเข้าสู่เรื่องราวความรักอันเป็นเอกลักษณ์ และพาไปสัมผัสเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงชีวิตในอดีตของซาราห์และเดวิด
โคโกนาดะเริ่มเป็นที่รู้จักจากการเป็นนักวิชาการด้านภาพยนตร์ ผ่านวิดีโอเรียงความที่วิเคราะห์เนื้อหา รูปแบบ และโครงสร้างของภาพยนตร์และซีรีส์มากมาย ก่อนจะเขียนและกำกับภาพยนตร์ขนาดยาว Columbus (2017) และ After Yang (2021) ผลงานของเขาได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ รวมถึงการเข้าชิงรางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และรางวัลภาพยนตร์อังกฤษ BAFTA
โคลิน ฟาร์เรลล์ กล่าวยกย่องว่า “K คือปรมาจารย์ที่ใช้ภาพยนตร์เป็นทั้งศิลปะ เป็นภาษา และเป็นเครื่องมือที่ไม่เพียงทำให้เราได้สื่อสารกัน แต่ยังเข้าถึงกันและกันในระดับลึกอีกด้วย”
เซธ รีสส์ ผู้เขียนบทเสริมว่า “K เลือกสิ่งที่ถ้าเป็นผม ผมก็อยากจะเขียน แต่เขาพามันไปอีกระดับที่ทั้งสอดคล้องกับโลกในเรื่อง และยังงดงาม น่าทึ่ง และเท่มาก หนังเรื่องนี้ออกมาเป็นอย่างที่ผมฝันไว้เป๊ะ”
ระหว่างการถ่ายทำ A BIG BOLD BEAUTIFUL JOURNEY โคโกนาดะสร้างบรรยากาศในกองที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ มาร์โกต์ ร็อบบี้ เล่าว่า “เขามีทุกอย่างที่คุณอยากเห็นในคนที่คุณต้องติดตามระหว่างการทำหนัง สิ่งแรกที่ทำให้ฉันประทับใจในผลงานของเขา นอกจากภาพที่สวยงามตระการตาแล้ว คือความสงบลึกที่แผ่ออกมา — เป็นสมาธิที่ฉันยังทำไม่ได้ ฉันเคยดูหนังของเขาแล้วคิดว่า ‘บางทีถ้าได้ร่วมงานกับเขา ฉันอาจจะได้สัมผัสความสงบนั้นบ้าง’”
เธอกล่าวต่อว่า “K เป็นคนที่ใจเย็นที่สุดเท่าที่คุณจะนึกออกในกองถ่ายหนัง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ละเอียดเป๊ะมาก เขามีความคิดสร้างสรรค์และยืดหยุ่น แต่ในเวลาเดียวกันก็สามารถควบคุมทุกสิ่งได้อยู่หมัด”
เกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์
A BIG BOLD BEAUTIFUL JOURNEY ถ่ายทำในและรอบๆ ลอสแอนเจลิส แต่ตามคำบอกของผู้กำกับ โคโกนาดะ “เราไม่เคยระบุชัดเจนว่าซาราห์และเดวิดมาจากที่ไหน หรือกำลังจะไปที่ไหน เราต้องการให้ผู้ชมรู้สึกว่ามันสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ แต่ละจุดหมายก็เป็นเพียงประตูที่เปิดไปสู่อีกจุดหมายหนึ่ง”
“ดังนั้น เราจึงมองหาฉากและสภาพแวดล้อมที่ช่วยสร้างความรู้สึกลึกลับและเหนือจริง” เขากล่าวต่อ “เราพบสถานที่ที่ไม่เคยถูกบันทึกลงในภาพยนตร์มาก่อน”
โคโกนาดะได้กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับภาพ เบนจามิน โลบ (จาก After Yang) เพื่อสร้างงานภาพที่สวยงามสะกดตา และยังได้โปรดักชันดีไซน์เนอร์ เคที ไบรอน (Don’t Worry Darling) มาร่วมเสริมพลังสร้างสรรค์ด้วย
โคโกนาดะเล่าว่า หลังจากอ่านบทครั้งแรก เขารีบส่งต่อไปให้โลบทันที “เราก็เริ่มคุยกันถึงการออกแบบภาพว่าจะทำให้มันมี ‘จิตวิญญาณ’ แบบไหน และเขาก็ตื่นเต้นมากกับแนวทางนั้น”
ไบรอนบอกว่าที่เธอตัดสินใจร่วมโปรเจกต์นี้เพราะชื่นชมโคโกนาดะ “เขามีวิสัยทัศน์ แต่ก็เปิดกว้างในการร่วมมือด้วย คุณสามารถกล้าลองทำสิ่งใหม่ๆได้เต็มที่ เมื่อทำงานกับคนที่ทำให้คุณรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจ”
เธอและโคโกนาดะต้องการให้แม้แต่สิ่งเหนือจริงก็ดูจับต้องได้ “เราพยายามทำให้ทุกอย่างเชื่อมโยงกับประสบการณ์ความเป็นมนุษย์ เพราะหากสิ่งที่คุณเห็นบนจอดูแปลกเกินไป ผู้ชมก็จะไม่อิน เราอยากให้ทุกอย่างดูจริง มีร่องรอยของกาลเวลา เนื้อสัมผัส และชั้นเชิง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของการเล่าเรื่องด้วยอารมณ์”
ไบรอนยังหาสมดุลที่พอดีในงานออกแบบ “ทุกอย่างคือเศษเสี้ยวเล็ก ๆ มันอาจจะดูแฟนตาซี แต่ก็ยังคงความละเมียดละไม เป็นเส้นกั้นระหว่างความสดใสเกินพอดีกับความสมจริง”
เพื่อพึ่งพา CGI ให้น้อยที่สุดและใช้เอฟเฟกต์จริงมากขึ้น โคโกนาดะเสนอไอเดีย “ประตูมหัศจรรย์” ที่พาเดวิดและซาราห์ย้อนกลับไปสู่อดีต เซธ รีสส์ ยืนยันว่า “แนวคิดเรื่องประตูนี้ไม่อยู่ในบทดั้งเดิม แต่เป็นไอเดียของ K และพอเขาเล่าให้ผมฟัง ผมก็คิดทันทีว่า ‘เจ๋งมาก’”
โปรดิวเซอร์ ยูรี เฮนลีย์ เล่าว่า เดิมทีประตูจะถูกออกแบบให้เรียบง่าย “แต่พอทำไปเรื่อย ๆ เราก็เริ่มอยากทำให้มันยิ่งใหญ่ขึ้นทั้งรูปลักษณ์และการจัดวาง หนังเต็มไปด้วยเวทมนตร์ และเบื้องหลังก็เต็มไปด้วยเวทมนตร์เช่นกัน”
เมื่อจำเป็นต้องใช้เทคนิคพิเศษ ทีมงานเลือกใช้ Volume เทคโนโลยีเซ็ต LED ที่สร้างโลกเสมือน 3 มิติ เพื่อให้บรรยากาศการถ่ายทำสมจริงและดื่มด่ำ
โคโกนาดะอธิบายว่า “ผมอยากหลีกเลี่ยงโลกที่ถูกสร้างด้วย CG หนัก ๆ ทั้งหมดจึงเกี่ยวกับการทำให้มันทั้งมหัศจรรย์และจับต้องได้ Volume มันเป็นโลกของมันเอง แต่ทุกสิ่งถูกถ่ายจริงในกล้อง มันสอดคล้องกับจิตวิญญาณของหนังที่นักแสดงสามารถโต้ตอบกับโลกนั้นได้”
เฮนลีย์เล่าด้วยความตื่นเต้นว่า “ตอนที่ K เริ่มพูดถึงการใช้ Volume มันน่าตื่นเต้นมาก เพราะปกติแล้วมักใช้เฉพาะหนังบล็อกบัสเตอร์ แต่ K ใช้มันเป็นเพียงหนึ่งในหลายเครื่องมือที่ทำให้ทุกวันของการถ่ายทำดีกว่าที่ผมเคยจินตนาการไว้”
หนึ่งในฉากที่โดดเด่นคือฉาก ประภาคารเก่าในศตวรรษที่ 19 เฮนลีย์บอกว่า “อะไรจะโรแมนติกไปกว่าประภาคารเก่าแก่หลายร้อยปี? และเรายกระดับความสวยงามนั้นขึ้นไปอีกด้วยการถ่ายทำใน Volume ทำให้ฉากดูยิ่งใหญ่ขึ้น มีพลังภาพยนตร์มากขึ้น และสวยงามเกินความจริงเล็กน้อย มันช่วยยกความสัมพันธ์ระหว่างซาราห์และเดวิดให้ชัดเจนขึ้น”
โคโกนาดะยกย่องผลงานของผู้กำกับอนิเมะญี่ปุ่นผู้ยิ่งใหญ่ ฮายาโอะ มิยาซากิ ว่าเป็นแรงบันดาลใจหลัก “มิยาซากิสร้างโลกที่ทุกสิ่งเป็นไปได้ แต่ขณะเดียวกันก็ฝังรากลึกอยู่ในประสบการณ์ชีวิตประจำวัน เราพยายามสร้างเวทมนตร์ในลักษณะนั้น—ทั้งพิเศษและธรรมดาในเวลาเดียวกัน”
นอกจากนี้ โคโกนาดะยังได้เชิญ โจ ฮิซาอิชิ นักแต่งเพลงชื่อดังจากผลงานของมิยาซากิ มาร่วมงานและประเดิมการทำดนตรีภาพยนตร์อเมริกันครั้งแรกกับเรื่องนี้ “ดนตรีของฮิซาอิชิมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว” โคโกนาดะกล่าว “เรียบง่ายและซับซ้อนในเวลาเดียวกัน มีชั้นเชิงทางอารมณ์และจังหวะที่พลิ้วไหว การได้เขามาร่วมคือความฝันที่เป็นจริง ผมชอบที่ดนตรีของเขาสร้างความลึกลับ ขณะเดียวกันก็ยังเชื่อมโยงกับประสบการณ์ความเป็นมนุษย์”
ดั้งเดิม โรแมนติก และเปี่ยมเวทมนตร์ — นี่คือเสาหลักที่ทีมผู้สร้างและนักแสดงยึดถือในการทำให้โลกและตัวละครของ A BIG BOLD BEAUTIFUL JOURNEY มีชีวิตขึ้นมา
โคลิน ฟาร์เรลล์ เล่าว่า “ตอนที่โปรเจกต์นี้เข้ามา ผมเหนื่อยจากการถ่าย The Penguin และไม่อยากกลับไปทำงานทันที แต่พอได้นั่งคุยกับ K และมาร์โกต์ แค่ชั่วโมงเดียว ผมก็รู้สึกขอบคุณมากที่ได้มีส่วนร่วมสร้างเรื่องราวนี้”
มาร์โกต์ ร็อบบี้ แชร์ความรู้สึกว่า “การได้ทำ A BIG BOLD BEAUTIFUL JOURNEY เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่เปี่ยมเวทมนตร์ที่สุดในชีวิต และมันต้องถูกสัมผัสในโรงภาพยนตร์เท่านั้น เพราะมันมอบทุกอารมณ์ให้คุณ เป็นทั้งโรแมนติกและน่าประทับใจ การดูหนังเรื่องนี้ในโรงกับการดูที่บ้านต่างกันราวฟังเพลงผ่านหูฟังกับไปคอนเสิร์ต ความรู้สึกที่ได้แบ่งปันอารมณ์กับผู้ชมคนอื่น ๆ มันไม่เหมือนกันจริง ๆ”
โคโกนาดะสรุปว่า “ผมอยากสร้างสิ่งที่ดั้งเดิม และมีขนาดใหญ่พอที่จะสะท้อนความรักในประสบการณ์การดูหนังแบบที่ผมเคยสัมผัสตอนเด็ก ๆ ประสบการณ์ที่ทำให้ทั้งอิ่มเอมใจและซาบซึ้ง และยังคงอยู่กับคุณไปอีกหลายวัน”
ประวัตินักแสดง
มาร์โกต์ ร็อบบี้ (ซาราห์) นักแสดงและผู้อำนวยการสร้างเจ้าของการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ที่สามารถตรึงสายตาผู้ชมทั่วโลกด้วยผลงานการแสดงอันโดดเด่น ร็อบบี้เป็นที่รู้จักจากการรับบทบาทที่หลากหลายและทรงพลัง ถ่ายทอดเรื่องราวอันเข้มข้นให้มีชีวิตบนจอภาพยนตร์ด้วยพลังการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์
ในปีหน้า ร็อบบี้จะรับบทนำและร่วมอำนวยการสร้างในภาพยนตร์ Wuthering Heights ผลงานกำกับของ เอมเมอรัลด์ เฟนเนลล์ นับเป็นความร่วมมือครั้งที่สามระหว่างเธอกับผู้กำกับมากฝีมือภายใต้บริษัท LuckyChap ของร็อบบี้ ภาพยนตร์ยังร่วมแสดงโดย เจคอบ เอลอร์ดี และ อลิสัน โอลิเวอร์ โดยวอร์เนอร์ บราเธอร์ส มีกำหนดเข้าฉายวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2026
ล่าสุด ร็อบบี้ฝากผลงานการแสดงอันเป็นที่จดจำใน Barbie ผลงานกำกับของ เกรต้า เกอร์วิก ในบทนำร่วมกับ ไรอัน กอสลิง และ อเมริกา เฟอร์เรรา รวมถึงนักแสดงชื่อดังอีกมากมาย ภาพยนตร์ได้รับเสียงวิจารณ์ล้นหลาม กวาดรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกกว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 8 สาขา รวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
สำหรับผลงานการแสดงของเธอ ร็อบบี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA, SAG, Critics Choice และ Golden Globe ขณะเดียวกันในฐานะผู้อำนวยการสร้างภายใต้บริษัท LuckyChap เธอยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล PGA และรางวัลออสการ์สาขาผู้อำนวยการสร้างยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน บทภาพยนตร์ของ Barbie เขียนโดย เกรต้า เกอร์วิก และ โนอาห์ บอมบัค โดยวอร์เนอร์ บราเธอร์ส พิคเจอร์สจัดจำหน่ายและเข้าฉายทั่วโลกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2023
โคลิน ฟาร์เรลล์ (เดวิด) นักแสดงมากฝีมือผู้มีเส้นทางอาชีพในวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ยาวนานกว่า 20 ปี ฟาร์เรลล์เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติและยังคงสร้างผลงานโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เขาปรากฏตัวในซีรีส์ HBO’s The Penguin รับบท ออสวัลด์ คอบเบิลพ็อต ซึ่งเป็นการกลับมารับบทที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างกว้างขวาง ผลงานนี้ทำให้เขาคว้ารางวัล ลูกโลกทองคำ (Golden Globe) สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (มินิซีรีส์), รางวัลสมาคมนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์ (SAG Award) และ Critics Choice Award นอกจากนี้เขายังอยู่ระหว่างการถ่ายทำซีซันสองของซีรีส์ Apple TV+ Sugar ในบทนักสืบเอกชน จอห์น ชูการ์ อีกด้วย
ฟาร์เรลล์ยังจะได้แสดงในภาพยนตร์เรื่องใหม่ของ Netflix เรื่อง Ballad of a Small Player กำกับโดย เอ็ดเวิร์ด เบอร์เกอร์ ดัดแปลงจากนวนิยายปี 2014 ของ ลอว์เรนซ์ ออสบอร์น ซึ่งเล่าเรื่องของนักต้มตุ๋นชาวอังกฤษที่แสร้งทำตัวเป็นขุนนางหนีหนี้ในมาเก๊า
ก่อนหน้านี้ ฟาร์เรลล์ฝากผลงานการแสดงอันน่าจดจำใน The Banshees of Inisherin ของผู้กำกับ/เขียนบท มาร์ติน แมคโดนาห์ ภายใต้สังกัด Searchlight Pictures ซึ่งได้กลับมาร่วมงานกับแมคโดนาห์และนักแสดงคู่ขวัญจาก In Bruges อย่าง เบรนแดน กลีสัน ภาพยนตร์ฉายรอบปฐมทัศน์โลกที่เทศกาลภาพยนตร์เวนิสปี 2022 และทำให้ฟาร์เรลล์คว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม พร้อมกับรางวัลจาก New York Film Critics Circle, National Board of Review, และ ลูกโลกทองคำ รวมถึงการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล SAG, BAFTA และ Academy Award
ในปี 2022 ฟาร์เรลล์ปรากฏตัวในหลายโปรเจกต์ อาทิ The Batman ของ Warner Bros. Pictures กำกับโดย แมตต์ รีฟส์, Thirteen Lives ของ MGM/Amazon กำกับโดย รอน ฮาวเวิร์ด, ซีรีส์ดราม่า The North Water ของ BBC/AMC และ After Yang ของ A24 ซึ่งฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2021 และทำให้เขาได้รับรางวัลจาก New York Film Critics Circle
ในปี 2019 ฟาร์เรลล์แสดงนำในภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชัน Dumbo และในปี 2018 เขาแสดงในภาพยนตร์รวมดารา Widows ของ Twentieth Century Fox กำกับโดย สตีฟ แมคควีน ร่วมกับ ไวโอลา เดวิส ปี 2017 เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับ ยอร์กอส ลานธิมอส เป็นครั้งที่สองใน The Killing of a Sacred Deer ประกบ นิโคล คิดแมน ภายใต้สังกัด A24 ซึ่งเข้าฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ พร้อมกับ The Beguiled ของ โซเฟีย คอปโปลา ที่เขาแสดงร่วมกับนิโคล คิดแมน, แอล แฟนนิง และเคียร์สเตน ดันสต์ ในปีเดียวกัน ฟาร์เรลล์ยังแสดงประกบ เดนเซล วอชิงตัน ใน Roman Israel, Esq. ผลงานกำกับและเขียนบทโดย แดน กิลรอย ก่อนหน้านั้น ฟาร์เรลล์ประสบความสำเร็จกับผลงาน The Lobster ของลานธิมอส ซึ่งร่วมแสดงกับ เรเชล ไวซ์ และนับเป็นการร่วมงานครั้งแรกกับผู้กำกับชื่อดัง ภาพยนตร์เรื่องนี้คว้ารางวัล Jury Prize จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 68 และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA ปี 2016 ผลงานการแสดงของเขาในเรื่องนี้ยังส่งให้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ (สาขาภาพยนตร์เพลงหรือตลก), นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมที่ British Independent Film Awards และรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมยุโรปจาก European Film Awards
เควิน ไคลน์ (นายช่าง)
ตลอดเส้นทางอาชีพอันทรงเกียรติ เควิน ไคลน์ คือนักแสดงผู้ได้รับการยกย่องอย่างสูงและกวาดรางวัลมากมาย อาทิ รางวัลออสการ์ (Academy Award), SAG Award, รางวัลโทนี (Tony Awards) 3 รางวัล, Drama Desk Awards 4 รางวัล และ Obie Awards 2 รางวัล นอกจากนี้ เขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล เอมมี (เอ็มมี่อวอร์ดs) 2 ครั้ง, BAFTA 2 ครั้ง และ ลูกโลกทองคำ (Golden Globes) 6 ครั้ง รวมถึงการเสนอชื่อจากเวทีอื่น ๆ อีกมากมาย ในปี 2003 ไคลน์ได้รับเกียรติให้เข้าสู่ American Theatre Hall of Fame
ผลงานล่าสุด ไคลน์แสดงนำในซีรีส์ Disclaimer ของ อัลฟองโซ คัวรอง ทาง Apple TV+ ประกบ เคต บลันเชตต์, ซาชา บารอน โคเฮน และ โคดี สมิท-แมคฟี ซึ่งส่งให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงทั้ง ลูกโลกทองคำ, SAG Award และ Critics Choice Award สำหรับผลงานที่จะมาถึง ไคลน์แสดงนำในภาพยนตร์อินดี้เรื่อง Fior Di Latte เขียนและกำกับโดย ชาร์ล็อตต์ ลินเดน เออร์โคลี โคเอะ ซึ่งเข้าฉายรอบปฐมทัศน์ที่ เทศกาลภาพยนตร์ไทรเบก้า 2025 นอกจากนี้ เขายังเป็นที่จดจำจากการให้เสียง มิสเตอร์ ฟิสช์โฮเดอร์ ในซีรีส์แอนิเมชันยอดนิยมของ Fox เรื่อง Bob’s Burgers และได้กลับมารับบทนี้อีกครั้งในภาพยนตร์ Bob’s Burgers: The Movie ของ 20th Century Studios ล่าสุด ไคลน์เพิ่งเสร็จสิ้นการถ่ายทำซีรีส์คอเมดี้ American Classic ของค่าย MGM+ ผลงานสร้างโดย บ็อบ มาร์ติน และ ไมเคิล ฮอฟฟ์แมน ที่กำกับโดย ฮอฟฟ์แมน และร่วมแสดงโดย ลอร่า ลินนีย์
ฟีบี วอลเลอร์-บริดจ์ (สาวแคชเชียร์) นักแสดงและนักเขียนผู้คว้ารางวัลมาแล้วมากมาย วอลเลอร์-บริดจ์เป็นที่รู้จักจากซีรีส์ Fleabag ทาง BBC 3/Amazon ซึ่งเธอทั้งแสดงนำ สร้าง และอำนวยการสร้าง ผลงานดังกล่าวทำให้เธอคว้ารางวัลเอ็มมี่อวอร์ดถึง 3 รางวัลจากซีซันที่สอง ได้แก่ สาขาซีรีส์คอเมดียอดเยี่ยม, นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์คอเมดี้ และบทโทรทัศน์ยอดเยี่ยมในซีรีส์คอเมดี้ นอกจากนี้ เธอยังได้รับ รางวัลลูกโลกทองคำ 2 รางวัล ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (ซีรีส์คอเมดี้หรือมิวสิคัล) และซีรีส์คอเมดียอดเยี่ยม, Critics Choice Awards 2 รางวัล (นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์คอเมดี้และซีรีส์คอเมดียอดเยี่ยม), รางวัล SAG Award (การแสดงยอดเยี่ยมโดยนักแสดงหญิงในซีรีส์คอเมดี้) รวมทั้งรางวัล BAFTA Television Award สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมในรายการคอเมดี้
ล่าสุด วอลเลอร์-บริดจ์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่อวอร์ด อีกครั้งจาก Octopus! สารคดีสองตอนที่เธออำนวยการสร้างผ่านบริษัท Wells Street Films และให้เสียงบรรยายสำหรับ Amazon Prime Video ผลงานกำกับโดย นิฮาริกา เดซี โดยเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสาขาผู้บรรยายยอดเยี่ยม และสารคดีชุดนี้ยังคว้ารางวัลด้าน Outstanding Motion Design อีกด้วย
ปัจจุบัน วอลเลอร์-บริดจ์กำลังเขียนและพัฒนาซีรีส์เรื่องใหม่สำหรับ Amazon Prime Video ซึ่งดัดแปลงจากวิดีโอเกมยอดนิยมที่ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์แอ็กชันอย่าง Tomb Raider
ในเดือนมิถุนายน 2023 เธอได้ร่วมแสดงประกบ แฮร์ริสัน ฟอร์ด ใน Indiana Jones and the Dial of Destiny ภาพยนตร์ภาคที่ห้าของแฟรนไชส์ระดับตำนาน กำกับโดย เจมส์ แมนโกลด์ ซึ่งถือเป็นการกลับมาของ Indiana Jones อีกครั้งในรอบ 15 ปี หลังจาก Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull
ประวัติทีมผู้สร้าง
โคโกนาดะ (ผู้กำกับ, ผู้อำนวยการสร้าง) ผลงานกำกับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของโคโกนาดะ Columbus เปิดฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ ปี 2017 ส่วนผลงานเรื่องที่สอง After Yang เปิดตัวที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ปี 2021 ในปี 2022 เขายังกำกับตอนนำร่องและอีกสามตอนของซีรีส์ Pachinko ทาง Apple TV+ ซึ่งได้รับเสียงวิจารณ์อย่างล้นหลาม นอกจากนี้ โคโกนาดะยังได้รับเชิญจาก Criterion Collection และ British Film Institute ให้สร้างสรรค์ผลงานเชิงวิเคราะห์ภาพยนตร์ของผู้กำกับระดับตำนานอีกด้วย
เซธ รีสส์ (ผู้เขียนบท, ผู้อำนวยการสร้าง) ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่อวอร์ด และทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังในวงการตลก รีสส์มีผลงานภาพยนตร์ขนาดยาวครั้งแรกกับ The Menu กำกับโดย มาร์ก มิลอด และจัดจำหน่ายโดยเสิร์ชไลท์ พิคเจอร์ส ในปี 2022 เขาร่วมเขียนบทและอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมกับ วิล เทรซี และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลจากสมาคมนักเขียนแห่งอเมริกา (WGA) ปัจจุบัน รีสส์เป็นหัวหน้านักเขียนของรายการ Late Night with Seth Meyers ซึ่งเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงเอ็มมี่อสอร์ด ถึง 5 ครั้ง และ WGA อีก 5 ครั้ง ก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นหัวหน้านักเขียนของ The Onion
รีสส์เกิดที่เมือง Connellsville รัฐเพนซิลเวเนีย จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยบอสตันในปี 2005 และปัจจุบันอาศัยอยู่ที่นครนิวยอร์ก
แบรดลีย์ โธมัส (ผู้อำนวยการสร้าง) โธมัสเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Imperative Entertainment สตูดิโอสร้างสรรค์ที่มุ่งเน้นการพัฒนา ผลิต และจัดหาทุนให้กับภาพยนตร์ ซีรีส์ และสารคดีนานาชาติ
ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในปี 2014 ร่วมกับ แดน ฟรีดกิ้น โธมัสได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ The Square ของ รูเบน ออสต์ลุนด์ ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์และคว้ารางวัล Palme d’Or จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2017 และยังอำนวยการสร้าง Triangle of Sadness ภาพยนตร์เจ้าของรางวัล Palme d’Or อีกเรื่องหนึ่ง ล่าสุด โธมัสได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากผลงาน Killers of the Flower Moon กำกับโดย มาร์ติน สกอร์เซซี และนำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ, โรเบิร์ต เดอ นีโร และ ลิลี แกลดสโตน ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์รวมทั้งสิ้น 10 สาขา
ยูรี เฮนลีย์ (ผู้อำนวยการสร้าง) เฮนลีย์เป็น 1 ใน 10 ผู้อำนวยการสร้างที่น่าจับตามอง จากนิตยสาร วาไรตี้ และเป็นที่รู้จักจากความร่วมมืออันยาวนานกับผู้กำกับ โซเฟีย คอปโปลา ทั้งคู่ได้ร่วมงานกันในภาพยนตร์มาแล้ว 5 เรื่อง อาทิ The Beguiled — ผลงานที่ทำให้คอปโปลาคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเทศกาลเมืองคานส์ — Somewhere, The Bling Ring และ On the Rocks ผลงานล่าสุด Priscilla เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลภาพยนตร์เวนิส และยังได้รับเลือกเป็นภาพยนตร์ไฮไลต์ของเทศกาลภาพยนตร์นิวยอร์กในปี 2023 ปัจจุบัน เฮนลีย์กำลังอยู่ระหว่างการทำโพสต์โปรดักชันของ Marc x Sofia สารคดีเกี่ยวกับดีไซเนอร์ Marc Jacobs ซึ่งร่วมสร้างกับคอปโปลา
ไมคาห์ กรีน (ผู้อำนวยการสร้างบริหาร) กรีนเป็นประธานร่วมและซีอีโอของ 30WEST บริษัทที่ปรึกษาและการลงทุนซึ่งเชี่ยวชาญด้านสื่อ บันเทิง และไลฟ์สไตล์ บริษัทเอกชนแห่งนี้มีบทบาททั้งในการจัดหาเงินทุนและบรรจุโปรเจกต์ภาพยนตร์และโทรทัศน์ รวมถึงดูแลพอร์ตโฟลิโอบริษัทต่างๆ เช่น NEON ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ชื่อดัง, Altitude Media Group สตูดิโอภาพยนตร์และโทรทัศน์ชั้นนำของยุโรป และ Creature Comforts โรงเบียร์ชื่อดัง
ในปีที่ผ่านมา 30WEST มีส่วนร่วมในการจัดหาเงินทุนและการขายภาพยนตร์ Together ของผู้กำกับ ไมเคิล แชงส์(จัดจำหน่ายโดย NEON) นำแสดงโดย อลิสัน บรี และเดฟ ฟรังโก รวมถึง Power Ballad ผลงานล่าสุดของผู้กำกับ จอห์น คาร์นีย์ ที่นำแสดงโดยพอล รัดด์ และนิค โจนาส (จัดจำหน่ายโดย Lionsgate)
เคที ไบรอน (ผู้ออกแบบงานสร้าง) ไบรอนเป็นผู้ออกแบบงานสร้างมากฝีมือในวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ ซึ่งปัจจุบันประจำอยู่ที่กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส เธอเป็นที่รู้จักจากการร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังหลายคน เช่น เดรก เรมุส, จานิกซา บราโว, โอลิเวีย ไวลด์ และไมค์ มิลส์
ผลงานภาพยนตร์ของเธอประกอบด้วย Booksmart และ Don’t Worry Darling ของโอลิเวีย ไวลด์, Zola ของจานิกซา บราโว, C’mon C’mon ของไมค์ มิลส์, Color Out of Space ของริชาร์ด แสตนลีย์ และภาพยนตร์หลายเรื่องของเดรก เรมุส เช่น Like Crazy เจ้าของรางวัล Grand Jury Prize จากเทศกาลซันแดนซ์, Zoe, Breathe In, Equals และ Newness
ผลงานโทรทัศน์ของเธอรวมถึง Dirk Gently Holistic Detective Agency (BBC America), Documentary Now (IFC), The Curse (Showtime) ที่นำแสดงโดยเอ็มม่า สโตน, เนธาน ฟีลเดอร์ และบอนนี่ ซาฟดี รวมถึง The Listeners (BBC) ซึ่งถือเป็นการร่วมงานครั้งที่สองกับจานิกซา บราโว
โจ ฮิซาอิชิ (ผู้ประพันธ์ดนตรี) ฮิซาอิชิเป็นหนึ่งในนักประพันธ์ดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่ได้รับการยกย่องและเป็นที่รักมากที่สุดในโลก เขาร่วมงานมาอย่างยาวนานกับผู้กำกับระดับตำนาน ฮายาโอะ มิยาซากิ แห่ง Studio Ghibli เจ้าของผลงานแอนิเมชันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ผลงานของฮิซาอิชิครอบคลุมหลายแนวและหลากอารมณ์ เขายังจัดคอนเสิร์ตจนขายบัตรหมดเกลี้ยงทั้งในอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย โดยเมื่อปีที่ผ่านมา การแสดงชุดของเขาที่ Madison Square Garden นิวยอร์ก ได้สร้างสถิติการแสดงคอนเสิร์ตคลาสสิกติดกันมากที่สุดที่ขายหมดทุกรอบในประวัติศาสตร์ของสถานที่แห่งนี้
A BIG BOLD BEAUTIFUL JOURNEY ถือเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องแรกของเขา และเป็นการร่วมงานครั้งแรกกับโคโกนาดะ “ดนตรีของฮิซาอิชิมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว” โคโกนาดะกล่าว “เรียบง่ายและซับซ้อนในเวลาเดียวกัน อัดแน่นด้วยอารมณ์และจังหวะอันพลิ้วไหว การได้เขามาทำงานในเรื่องนี้คือความฝันที่เป็นจริง ผมชอบที่ดนตรีของเขาสร้างทั้งความลึกลับและความเป็นมนุษย์ในเวลาเดียวกัน”

